[GOC] Fiction 02 : RIP Alexis Shelton By Shayne Brenig

Fictions นี้เป็นส่วนหนึ่งของคอมมู Gang of Chicago [GOC]

avatar_fbcc1ed07919_128

*********************************************

[GOC] Assassination 01 : Gladys vs Alexis

Fiction 02 : RIP Alexis Shelton

By Shayne Brenig

*********************************************

Rate : 18+ มีฉากบรรยายถึงความรุนแรงและเซ็กส์ (แบบแอบๆ)

Letter Count (by http://www.lettercount.com/): 7,424

Word Count (by MS Words) : 1,895 คำ

Author ‘s Note (By Sena) : ตอนนี้ชีวิตลูกสาวจบลงไปแล้วในระบบการลอบสังหารของคอมมู GOC แต่ยังมีสตอรี่เบื้องหลังทิ้งค้างไว้ให้เขียนมากมาย เรียกว่ายังคึกอยู่ว่างั้น 5555 เรื่องแรกก็คงขอเป็น RIP อเล็กซิส ก่อนเลย การตายของนายจุดประกายสตอรี่หลายๆอย่างของเรา หลายๆอย่างเข้ามาช่วงโรลย้อน ทำให้เข้าใจลูกสาวมากขึ้น บางมุมก็ทำเอาไม่อยากตายขึ้นมา 555 แต่นั่นล่ะ ชีวิตก็แบบนี้ ใช่ว่าเราจะได้อะไรดั่งใจไปซะทุกอย่าง

…What is Life?…

…Life is this…

…………………………………………………………………………………………

…อเล็กซิส…เชลตัน…

…ความรู้สึกเหมือน… เพิ่งจะได้คุยกันครั้งแรกเมื่อวานอยู่เลย… คนที่เดินทอดถอน

หายใจอยู่เบื้องหน้าช่างมีแผ่นหลังที่ดูเหงาและเศร้าจนฉันไม่อยากจะปล่อยเขาไว้คนเดียว

 

…จังหวะก้าวเท้าของเราทั้งคู่เชื่องช้า ทั้งที่อากาศรอบๆเหน็บหนาวจนลมหายใจ

กลายเป็นไอสีขาว ล่องลอยปะปนไปกับควันบุหรี่สีเทาซึ่งถูกจุดขึ้นสูบเพื่ออบอุ่นร่างกาย

 

…เพราะคนตรงหน้าเป็นคนของลูซรอครึเปล่านะ ถึงรู้สึกว่าปล่อยไปไม่ได้…

…What are you so sad about, Alexis?…

 

…Life…

.

.

.

ป้ายหน้าหลุมศพของอเล็กซิส มีทั้งตัวเลขและตัวหนังสือสลักเป็นร่องลึกลงไปในเนื้อหิน… ฉันอ่านมันได้ไม่หมดทุกคำ แต่บางอันก็เข้าใจได้ไม่ยาก หนึ่งในนั้นคือตัวเลข 22 …ซึ่งระบุวันเวลาแห่งความเศร้า ที่เจ้าของร่างผู้หลับอย่างไม่มีวันตื่นอยู่ใต้ผืนดินนี้เคยบอกไว้

วันเวลาของคนแต่ละคนต่างผ่านอะไรมาไม่เท่ากัน… ร่างกายซึ่งเต็มไปด้วยร่องรอยของ อเล็กซิส บอกเล่าเรื่องราวได้ดีกว่าถ้อยคำนับหมื่นคำ แต่มันคงเป็นเรื่องราวที่เจ้าตัวไม่รู้สึกดีสักเท่าไหร่ เขาถึงไม่คิดจะบอกเล่ามันกับใคร… พวกเราจึงมักเห็นเขาในเสื้อแขนยาว ปิดคอมิดชิดอยู่เสมอ

ฉันเองก็ไม่เคยเอ่ยปากถาม หากแต่ปลายนิ้ว… ริมฝีปาก… และร่างกายของฉันเริ่มทำความคุ้นเคยกับเรื่องราวบนร่างกายของเขาทีละนิดตามวันเวลาที่ได้ใกล้ชิดกัน แต่ละสัมผัสฉันรับรู้ได้ถึงความเศร้าและเจ็บปวด แต่ผู้หญิงเลือดเย็นอย่างฉัน กลับไม่เคยแสดงออกว่ารับรู้ถึงความรู้สึกของเขาเลย หลายต่อหลายครั้งเราทั้งคู่กลับเลือกที่จะสร้างเรื่องราวใหม่ๆแต่งแต้มลงไปเพิ่มด้วยซ้ำ เพียงต้องการจะโถมทับอดีตของกันและกันซึ่งยังคงตามมาหลอกหลอน

จากจุดเริ่มต้น… แค่อยากให้เขาเปิดใจ รักตัวเองมากขึ้น มั่นใจมากขึ้น และรู้ว่ามันไม่เป็นอะไรเลย ไม่ว่าอดีตที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไร วันนี้เขายังมีชีวิตอยู่ และจะมีคนที่ยอมรับในตัวเขาเสมอ หากเขาไม่ถอดใจที่จะค้นหา…

นานวันเข้า… กลับเป็นตัวฉันเอง ที่ค่อยๆถูกเยียวยาจากความรุนแรงในอดีตซึ่งไม่สามารถหาทางระบายออกได้… ยิ่งรุนแรง… ยิ่งได้เลือด… ก็ยิ่งกลายเป็นความโกรธอันหาต้นสายปลายเหตุไม่เจอ…

…ถึงอย่างนั้นเด็กบ้านั่นก็ยังอยู่ข้างๆ… มาหาทุกครั้งที่ฉันเรียก… ทำตามทุกอย่างที่ฉันบอกให้ทำ… ใบหน้าและแววตาอันเจ็บปวดของเขา กลายเป็นสิ่งที่ฉันชินชา

…จนกระทั่ง…

.

.

.

‘เอะอะอะไรกันน่ะ?’

ฉันสอบถามสาวใช้ของโรงแรมกรีนเพลสที่วิ่งผ่านหน้า เมื่อมีเสียงเดินเข้าออกวุ่นวายผิดปกติตรงล็อบบี้

‘คุณชมิดท์ค่ะ พาคนเจ็บกลับมาด้วย คุณเชลตั้น… เห็นว่าให้เปิดห้องพักด่วนและให้ตามหมอมาดูอาการด้วย’

สาวใช้ตอบด้วยอาการค่อนข้างตระหนก คงเพราะเธอยังทำงานที่โรงแรมนี้ได้ไม่นานนัก ผิดกับฉันซึ่งชินชากับเรื่องพวกนี้ …ทั้งที่เป็นแบบนั้น… เลือดในกายของฉันกลับสูบฉีดแรง และเหงื่อเย็นเยียบก็ซึมชื้นไปทั่วฝ่ามือ…

.

.

.

บ้านพักของบาโทโลมิว… เป็นเป้าหมายของทีมทิลแมนน์ในการเจรจาเข้ายึดเพื่อเป็นฐานธุรกิจแห่งใหม่ของลูซรอค …ตัวบาโทโลมิวเอง เดิมทีเป็นเพียงหัวหน้าแก๊งเล็กๆซึ่งแทบไม่อยู่ในสายตาของเรา จนฉันไม่เคยคิดว่าการเข้าเจรจาจะติดปัญหาใดๆ แต่กลับกลายเป็นเรื่องวุ่นวายขึ้นมาจนได้ เมื่อคนของเราเป็นฝ่ายถูกหลอกล่อจับตัวไปคุมขังและทำร้ายร่างกายอย่างเหี้ยมโหด

.

.

.

ฉันยืนรออยู่หน้าห้องพักซึ่งถูกเปิดเป็นห้องพยาบาลเฉพาะกิจ เพื่อให้คุณหมอใช้ตรวจอาการบาดเจ็บของอเล็กซิส หลังจากตรวจอาการและทำแผลเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ขออนุญาตเข้าไปด้านในเพื่อรับฟังผลการตรวจด้วย

สภาพของอเล็กซิสในตอนนั้นทำเอาลำคอฉันตีบตันจนพูดไม่ออก ร่องรอยจากอดีตบนร่างกายของเขา ถูกทำให้กลับมาชัดเจนขึ้นอีกครั้ง จนฉันรู้สึกได้ถึงความไร้ค่ากับความพยายามที่ผ่านมาของเราสองคน

.

.

.

ฉันแวะไปดูอเล็กซิสบ่อยครั้ง แต่หลังจากเขาฟื้นตัว ฉันก็เริ่มเป็นฝ่ายตีตัวออกห่าง เหลือเพียงการเฝ้าดูอยู่ไกลๆในฐานะควีนแห่งลูซรอคเท่านั้น โชคดีที่พวกเราต่างวุ่นวายกับการเตรียมงานเทศกาลฤดูหนาว ไหนจะดูแลเรื่องลานแข่งปาหิมะ การเชิญแขกเหรื่อ และการเตรียมของขวัญให้กับเด็กๆในมูลนิธิ… ซึ่งทั้งหมดนั่นก็ผ่านไปได้ด้วยดี…

การแข่งขันปาหิมะปีนี้รุนแรงพอตัว หลังจบงานร่องรอยของคราบเลือดหลงเหลือเปรอะเปื้อนไปทั่วลานหิมะ ความรู้สึกบางอย่างเรียกร้องให้ฉันหยุดยืนมองภาพตรงหน้านิ่ง

…ภาพของหิมะเปื้อนเลือด…

…บางสิ่งบางอย่างในตัวของฉันกรีดร้องเบาๆอย่างไม่รู้สาเหตุ… ในอกเจ็บปวดจนต้องทิ้งตัวลงนอนหอบหายใจมองท้องฟ้า…

.

.

.

พอเริ่มหายใจคล่องขึ้น ฉันค่อยลองขยับแขนขาไปมา ให้รอยบนพื้นกลายเป็นรูปนางฟ้า แล้วใบหน้าอันคุ้นเคยก็ชะโงกมามอง… ใบหน้าของอเล็กซิสยามก้มมามองฉัน ต้องแสงจากไฟสนามด้านหลังจนเป็นเงามืดบดบังภาพท้องฟ้าซึ่งฉันนอนมองเมื่อครู่จนมิด… และก่อนไฟสนามจะถูกดับลง ฉันก็จัดการให้ผู้มาเยือนนอนหงายอยู่ใต้ร่างของฉัน ซึ่งกึ่งนั่งกี่งนอนคร่อมทาบทับร่างของเขาอยู่

…ภาพใบหน้าหวานพร่ามัวด้วยลมหายใจอุ่นที่กลายเป็นไอขาวของเราทั้งคู่…เป็นภาพซึ่งยังคงติดตาฉันอยู่จนถึงตอนนี้… ใบหน้าของ อเล็กซิส เชลตั้น ขณะที่มีหิมะเปื้อนเลือดเป็นฉากหลัง… ความรู้สึกแย่ๆซึ่งเกิดขึ้นในตอนนั้นอาจจะเป็นลางสังหรณ์ของฉันก็เป็นได้… เพียงแต่ตัวฉันในตอนนั้นกลับไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย

.

.

.

…ในงานจัดเลี้ยงงานปาร์ตี้สวมหน้ากากเปิดตัวโรงแรมซันไชน์หลายวันต่อมา… ฉันซึ่งกำลังรู้สึกอ่อนล้า ได้หลบมาพักในห้องแต่งตัวนักแสดง พลันถูกปลุกด้วยเสียงปืน 2 นัดซึ่งดังขึ้นไม่ห่างกันนัก…

…หัวใจเต้นแรง… เลือดในกายพลุ่งพล่าน…ความวิตกกังวลมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัว แต่ละเรื่องล้วนทำให้มือไม้ของฉันเย็นเฉียบ ฉันคว้าปืนซึ่งนำมาเก็บไว้ในห้องแต่งตัวล่วงหน้าติดตัวไปด้วยในทันที ทุกก้าวย่างเต็มไปด้วยความเร่งร้อน… มือแทรกขอทางกลุ่มคนที่ยืนมุงดูเหตุการณ์คนแล้วคนเล่า จนที่สุดฉันก็พาตัวเองก้าวไปหยุดอยู่เบื้องหน้า…

…ทิลแมนน์อยู่ที่นั่น… ใบหน้าและร่างกายเปรอะไปด้วยรอยเลือดสีเข้ม หากแต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก…มีเพียงแววตาเท่านั้นที่ดูเจ็บปวด… ฉันรีบเลื่อนสายตามองตามทิลแมนน์ไป และมันก็พลันสะดุดเข้ากับร่างคนผู้หนึ่งซึ่งนอนกองอยู่บนพื้นเบื้องหน้าทิลแมนน์…

…อเล็กซิส…

ริมฝีปากพึมพำชื่อนั้นแผ่วเบา แต่สมองกลับไม่รับรู้ใดๆ เสียงเซ็งแซ่รอบกายเมื่อครู่พลันเงียบสงัด ราวอยู่ในที่ไกลออกไป

…ภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ถูกซ้อนทับทันทีด้วยภาพจากอดีตอันลางเลือนซึ่งถูกฝังอยู่ในความทรงจำส่วนลึกมานานหลายปี… บัดนี้ถูกเหตุการณ์ตรงหน้าปลดปล่อยให้ไหลบ่าออกมาไม่ขาดสาย ราวกับถูกกดสวิตช์เปิด… ความพยายามต้านทานทั้งหมดสูญเปล่า ไม่ต่างจากทำนบน้ำ ซึ่งกำลังถูกกระแสอารมณ์เชี่ยวกรากเข้าโถมกระแทกจนพังทลายไม่เหลือชิ้นดี…

.

.

.

…ในความทรงจำ…ปุยหิมะสีขาวปลิวคว้างตามสายลมเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานจนน่ากลัวเมื่อโรยตัวลงต้องร่างหญิงสาวที่นอนฟุบนิ่งอยู่กับพื้นข้างเสาไฟถนน… ใบหน้าสละสวยที่คุ้นเคยดี เพราะมันช่างละม้ายคล้ายใบหน้าตนจนแยกไม่ออก… ยามนี้คนเบื้องหน้าหลุบเปลือกตาปิดสนิทคล้ายกำลังหลับใหล มีเพียงคราบของเหลวสีเข้มซึ่งไหลอาบเป็นทางผ่านเนินหน้าผากเนียนขาว จนหยดลงกระจายเป็นวงสีแดงสดอาบพื้นหิมะนั่นเท่านั้นที่บ่งบอกถึงความเป็นจริงอันต่างออกไป

ภาพที่เห็นช่างชัดเจนราวกับกำลังเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งเบื้องหน้า บีบหัวใจฉันแน่นจนเริ่มหายใจไม่ออก วิญญาณราวถูกกระชากออกจากร่าง จนร่วงวูบลงไปนั่งกองกับพื้น

…ความทรงจำน่ากลัวที่หลอกตัวเองให้ลืมมาโดยตลอด…

…..เ….

…เชลลี่…

.

.

.

‘คุณเชน!!’

มือของใครบางคนเข้ามาประคองร่างฉันไว้ ความตระหนกในน้ำเสียงเรียกสติฉันกลับมาในห้องจัดงานอีกครั้ง… แม้ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือจะหันกลับไปมอง แต่จากน้ำเสียงที่ได้ยินก็พอรู้ว่าเป็น ซีโน่ ครูซ…

‘ฉันไม่เป็นไรครูซ’

ฉันรีบตอบให้อีกคนหายตกใจ พลางยกหลังมือขึ้นเช็ดเหงื่อเย็นเยียบบนหน้าผากตัวเอง พยายามรวบรวมสติ แต่เสียงที่ถามออกไปยังคงสั่นจนแทบไม่เป็นคำ สายตาเหม่อลอยจับอยู่บนร่างอันไร้ชีวิตของอเล็กซิส

‘…ใครทำ?…’

…คำถามของตัวเองยังก้องอยู่ในหู…

…ทำไมต้องเป็นตอนนี้…?

…ฉันน่ะ… ยังไม่เคยพูด ‘ขอบคุณ’ เขาเลยสักครั้ง…

…ยังไม่เคย… มีโอกาสได้บอกเจ้าตัวเลยว่า…

…ที่ผ่านมา… อ้อมกอดของเขามันอบอุ่นเพียงใด…

ขอบตาร้อนผ่าว แต่กลับเหือดแห้ง… ริมฝีปากเม้มแน่นกลืนก้อนจุกในลำคอลงไปอย่างยากเย็น

…แค่นี้เองสินะ… ชีวิตคนๆหนึ่ง…

…ดับสลายลงไปอย่างง่ายดาย… คราวจะจากไปก็ไม่มีพิธีรีตอง… ไม่มีคำอำลาใดๆ… หลงเหลืออยู่เพียงเศษเสี้ยวในความทรงจำของผู้คน และไม่ช้าก็ถูกลืมทิ้งไปราวกับผงฝุ่นมากมายบนพื้นถนน…

…ฉันเองก็… จะต้องตายไปในสภาพแบบนี้ไม่ต่างกันสินะ…

…หนึ่งชีวิตเล็กๆที่นี่… ที่…ชิคาโก้…

…………………………………………………………………………………………

 

 

*LOFT ‘s INDEX*

* Character ‘s Proflies *

[TE] 

[SH] 

  • Arisue Sena [SH]
  • Mitsuki Akira [SH]

[RP] 

[GOC] 

[Original-Fiction]

  • Kurozaki Haruka [Labyrinth Love]
  • Horikawa Setsuna [Labyrinth Love]

* Fictions List *

[SH] 

[RP] 

[GOC]

[Original Fictions]

  • Labyrinth Love
    • EP 01
    • EP 02

[GOC] Profile : Shayne Brenig

******************************************************

Shayne Brenig : The Queen of Luzroc

Original Character นี้เป็นส่วนหนึ่งของคอมมู Gang of Chicago [GOC]

avatar_fbcc1ed07919_128

******************************************************

Shayne

Credit : ด้วยความน่ารักของ @Srta_60s ช่วยวาดและปลุกลูกสาวให้ออกมามีชีวิตชีวามากๆ กลายเป็นสาวสวยไปเลย ขอบคุณมากๆค่ะ

Shayne Template Profile-ILLust

Two Young Women Seated

ภาพของเชนและเชลลี่ พี่สาวฝาแฝดของเธอช่วงก่อนเข้าแก๊งค์ ปัจจุบันตัดผมสั้นกว่าเดิม

Credit รูป : Two Young Women Seated

From http://artcontrarian.blogspot.com/2013_12_01_archive.html

ชื่อผู้ปกครอง : เซนะ

ทวิตหลักของผู้ปกครอง : @narscel

ชื่อ : Shayne Brenig (เชน เบรนิก)

สัญชาติ : อเมริกัน

เชื้อชาติ : อเมริกัน

เกิด : 27 FEB 1901

มรณะ : 27 JAN 1921  (27/01/2016)

อายุ : 19

ปัจจุบัน : เสียชีวิตแล้วจากการลอบสังหาร Pietro Monzovi (Genovesi Family) @GoC_Pietro

[Assassination ครั้งที่ 2 : ประกาศ by GOC Commu]

สีผม / สีตา / สีผิว : Ash Blonde / Sterling Gray / White

ส่วนสูง / น้ำหนัก : 173 cm. / 58 kgs

รูปร่างลักษณะ/หน้าตา :

  • เด็กสาวสูงโปร่งแข็งแรง ดวงตาโตสีเทาอมฟ้า ผมสีแอชบลอนด์หม่น หยักศกเป็นลอนอ่อนๆ แต่ตัดจนสั้นคล้ายเด็กผู้ชาย ใบหน้าก็ก้ำกึ่งระหว่างสาวหล่อ กับหนุ่มหน้าหวาน อาจจะด้วยวัยเพียง 19 ทำให้แม้จะมีใบหน้าค่อนข้างหวานอยู่ แต่ยามไม่ได้แต่งหน้า ถ้าใส่สูทใส่หมวก ก็ดูผิดเป็นหนุ่มน้อยได้ง่ายๆ
  • ปกติเวลาทำงานในแก๊งค์ มักจะใส่สูท ไม่แต่งหน้า กลมกลืนไปกับคนอื่นๆ แต่ในยามค่ำคืนจะแปลงโฉมแต่งหน้าแต่งกายเต็มยศใส่ชุดผู้หญิงไปทำงาน อาชีพคือนักร้องเพลงแจ๊สในผับของโรงแรม ใช้ชื่อแฝงว่า เชลลี่ ซึ่งเป็นชื่อพี่สาวฝาแฝดที่หายสาปสูญไปก่อนหน้านี้เชลลี่ทำงานเป็นนักร้องอยู่ก่อนแล้ว พอหายตัวไปเชนเลยมารับงานต่อแทน

Shayne Shayne-2

เครดิตรูป : อวาต้าร์สร้างจากเวบ http://dreamself.me

ประวัติ :

  • เชนเป็นเด็กสาวฝาแฝด มีพี่สาวชื่อ เชลลี่ ทั้ง 2 เกิดที่เมืองซิเซโร (Cicero) ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆทางตะวันตกของชิคาโก้
  • ครอบครัวของเธอเดิมเป็นชนชั้นกลางแต่ยากจนลงเรื่อย เมื่อพ่อและแม่ของพวกเขาตกงานตามสภาพเศรษฐกิจ จนทั้งคู่ต้องออกทำงานรับจ้างรายวัน หนักๆเข้าภาวะกดดันและความเครียดทำให้พ่อของพวกเธอกลายเป็นคนติดเหล้าในที่สุด แล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ (เหตุการณ์เป็นประวัติลับของคาร์ : ระหว่างที่แม่ไปทำงานหารายได้ หลายครั้งที่พ่อซึ่งกลายเป็นพวกขี้เมาพยายามลวนลามลูกแฝดที่เริ่มเป็นสาวในวัย 12 ปี โดยเริ่มมีอะไรกับลูกสาวตัวเองครั้งแรกในวันที่เชลลี่อยู่บ้านเพียงลำพัง เชนไปซื้อของกับแม่ (ไปช่วยแม่ถือของ) เชลลี่ตกเป็นเครื่องรองรับอารมณ์ของพ่อ แต่เธอกลับไม่ได้บอกอะไรเชน จากนั้นเหตุการณ์เช่นเดียวกันเกิดขึ้นกับเชนด้วย โดยที่แม่ของเด็กทั้งสองไม่ระแคะระคายมาก่อนเลย ในขณะที่เชนหวาดกลัวพ่อมาก และเมื่อรู้ว่าพี่สาวที่ตนรักมากโดนกระทำแบบเดียวกันก็พยายามปกป้องเชลลี่จากพ่อมาตลอด แม้จะไม่กล้าบอกใครแม้แต่แม่ของตนเองก็ตาม วันหนึ่งเมื่อเชนเจอปืนในลิ้นชักตู้เสื้อผ้าของแม่ เธอก็จดจำตำแหน่งของมันไว้ จนกระทั่งวันที่เกิดเรื่องขึ้น วันนั้นเป็นวันที่เชนและเชลลี่ไม่ต้องไปโรงเรียน เด็กแฝดจึงอยู่บ้านเพียงลำพัง ในขณะที่แม่ของทั้งคู่ต้องไปทำงาน ตกบ่ายพ่อซึ่งหายไปตั้งแต่หัววันก็กลับมาบ้านในสภาพเมาแอ่น พ่อพยายามลากเชลลี่เข้าห้องนอน แล้วไล่เชนออกจากห้อง เกิดการต่อสู้กันเพราะเชนไม่ยอมจนถูกพ่อเหวี่ยงไปกระแทกผนังห้องสลบไป ฟื้นมาอีกทีก็เห็นพ่อกำลังมีอะไรกับพี่สาวตนเอง เชนจึงค่อยๆลุกขึ้นเงียบๆ หยิบปืนออกมาจากลิ้นชัก และยิงพ่อตนเอง 1 นัดเข้าที่หลัง เพื่อช่วยเชลลี่ หารู้ไม่ว่าหลังๆมานี้เชลลี่เองก็แอบเสพย์ติดความรู้สึกดีๆจากการร่วมรักกับบิดาของตนเอง โดยที่เชลลี่เองก็ไม่ได้ปริปากบอกความรู้สึกนี้กับน้องสาวแต่อย่างใด เสียงปืนดังขึ้น 1 นัดพ่อก็ฟุบลงไป ทั้งเชนทั้งเชลลี่ตกใจมาก ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือหันมาเห็นแม่ซึ่งกลับมารับรู้เหตุการณ์พอดี เชนทำปืนหล่นจากมือ ความหวาดกลัวทำให้เธอคว้าข้อมือพี่สาวพาวิ่งหนีออกจากห้อง และออกจากบ้าน พ้นประตูออกมาไม่เท่าไหร่ เสียงปืนอีก 5 นัดก็ดังขึ้น เด็กทั้งคู่หลบซ่อนอยู่ใกล้ๆนั้น รอจนตำรวจเข้าเคลียร์จุดเกิดเหตุจึงค่อยแอบเข้าไปหยิบเงินและตัดสินใจหนีออกจากเมืองไปและไม่ได้กลับมาที่บ้านอีกเลย ถ้ากลับมาก็จะรู้ว่า แม่ยิงพ่อจนตาย แล้วยิงหัวตัวเองตายตาม ดังนั้นเชนและเชลลี่จึงพยายามหลีกเลี่ยงตำรวจ และพูดคุยถึงเรื่องครอบครัวกับคนอื่นๆเสมอ เพราะไม่รู้ว่าคดีนั้นมีบทสรุปลงอย่างไรจนถึงทุกวันนี้ )
  • เชนและเชลลี่พากันหนีหัวซุกหัวซุนออกจากบ้านเกิด เพื่อมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ชิคาโก้ ทั้งคู่ได้กลายเป็นเด็กเร่ร่อน ระหกระเหินอยู่ด้วยกันในเมืองที่เต็มไปด้วยแสงสีฟู่ฟ่า และอาชญากรรม
  • หลังจากเชลลี่กับเชนเข้าไปสมัครงานที่ผับแห่งหนึ่ง งานแรกๆที่ได้คืองานเด็กล้างจานหลังร้าน ต่อมาเชลลี่กับเชนมักร้องเพลงไปทำงานไปขณะปิดร้าน จนวันนึงเจ้าของผับ (ลุงจอห์นสัน) มาได้ยินเข้าก็ชอบใจ จะปั้นให้เชลลี่กับเชนเป็นนักร้องของผับ ซึ่งนั่นเป็นความใฝ่ฝันของเชลลี่มาตลอดได้เป็นดารานักร้องผู้มีชื่อเสียงโด่ง เป็นที่รักและหมายปองของทุกคน เธอจึงตอบรับข้อเสนอด้วยความยินดี ในขณะที่เชลลี่อาศัยรับจ้างทำงานอิสระเล็กๆน้อยๆ และร้องเพลงตามผับ แต่เชนกลับไม่อยากขึ้นเวที เชนสนใจงานที่ได้เงินดีกว่านั้น โดยเริ่มทำงานลูกกระจ๊อกให้กับแก๊ง Luzroc โดยรับงานจากเด็กหัวโจกในแก๊งอีกต่อหนึ่ง  
  • ลุงจอห์นสันเองก็เป็นคนเก่าคนแก่ของแก๊ง Luzroc ตั้งแต่สมัยคาธานเป็นหัวหน้าอยู่แล้ว เมื่อรู้ว่าเชนทำงานให้ลูซรอค เขาก็เริ่มมอบงานเล็กๆน้อยๆของแก๊งให้เชนทำมากขึ้น ทั้งยังสอนสิ่งที่ต้องรู้ และควรรู้ให้เชนด้วย นั่นเป็นขั้นแรกที่ได้ร่วมงานในแก๊ง Luzroc งานที่ลุงจอห์นสันมอบหมายมีมาเรื่อยๆ ตั้งแต่งานเดินข่าว ส่งของ หนักเข้าก็ไปถึงงานลอบสังหาร โดยลุงเป็นคนสอนงาน ทักษะที่จำเป็น และจัดหาอาวุธให้
  • แต่แล้วค่ำคืนหนึ่งหลังจากที่ทำงานเสร็จ เชนไปรับเชลลี่ที่ผับเพื่อกลับบ้านด้วยกัน แต่เชลลี่ไม่ได้อยู่ที่นั่น พี่สาวเพียงคนเดียวของเธอไม่ได้โผล่ไปทำงานวันนั้นด้วยซ้ำ เชลลี่หายสาบสูญไปราวกับควันในอากาศ ไม่มีใครพบเห็นเธอหรือได้ข่าวเธอ ไม่พบแม้แต่ศพเธอ เชนจึงผันตัวเองขอมาทำงานด้านข่าวให้กับแก๊งเพื่อใช้เครือข่ายของแก๊งค์สืบหาข่าวคราวของพี่สาวเธอ ขณะเดียวกันก็ใช้ชีวิตทดแทนในส่วนที่พี่สาวรักนั่นคือการเป็นนักร้องที่ผับบลูเบลในโรงแรมกรีนเพลสของ Luzroc เช่นกัน ด้วยความหวังว่าเมื่อพี่สาวกลับมา เธอจะกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนไม่เคยจากไปไหน
  • (เหตุการณ์เป็นประวัติลับของคาร์ จิ๊กซอว์ในส่วนการหายไปของเชลลี่ : ระหว่างที่เชนและเชลลี่เดินกลับบ้านด้วยกัน ในคืนก่อนหน้าที่เชลลี่จะหายไป เชลลี่ได้ตัดสินใจบอกน้องสาวของตน ว่าหล่อนจะเลิกร้องเพลง และย้ายไปอังกฤษตามชายแก่ผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง เอาเข้าจริงก็ไปอยู่ในฐานะผู้หญิงลับๆของเขานั่นเองเพราะชายแก่คนนั้นมีภรรยาแล้ว เขาเป็นหนึ่งในบรรดาลูกค้าประจำของผับเมื่อไม่นานมานี้และถูกใจเชลลี่มาก เชนและเชลลี่จึงมีปากเสียงกัน อารมณ์โกรธทำให้เชลลี่หลุดปากขับไล่เชนออกไปจากชีวิตเธอ และพูดถึงความรู้สึกที่เธอมีต่อพ่อ และที่เชนเข้าใจว่าเป็นคนปกป้องเธอมาตลอด ที่จริงแล้วเป็นคนทำลายความสุขทั้งหมดของเธอ ลากเธอมาตกต่ำและยากลำบาก แน่นอนว่าเชนช็อคมาก และพลั้งมือผลักเชลลี่อย่างแรง แต่เนื่องจากมันเป็นวันที่มีหิมะปกคลุมพื้นถนน เชลลี่เลยเสียหลักถลาล้มไปตามแรงผลักหัวฟาดเข้ากับเสาไฟถนนอย่างแรงจนสลบไป เชนซึ่งเห็นเลือดมากมายจากแผลแตกบนศีรษะพี่สาวตนไหลย้อมหิมะบริเวณนั้นจนแดงฉานก็ตกใจมาก ความรู้สึกเดียวกับตอนที่เชนยิงพ่อทำให้เจ้าตัวสติแตก ตะกายลุกขึ้นได้ก็วิ่งหนีไปซ่อนตัว จนเมื่อรวบรวมสติได้ ก็รีบกลับไปหาเชลลี่ แต่กลับไม่พบพี่สาวของตนที่นั่น และเชลลี่ก็หายตัวไปนับแต่วันนั้น เชนพาตัวเองกลับไปที่ห้องเช่าซึ่งเธออยู่กับเชลลี่ ล้มตัวลงนอน และปลอบตัวเองว่าลืมตาตื่นขึ้นมาทุกอย่างจะไม่เคยเกิดขึ้น เชลลี่จะกลับมา และหลับไป… น่าแปลกที่หลังจากเชนตื่นขึ้นมาความทรงจำเกี่ยวกับการทะเลาะกันกับเชลลี่ได้หายไปจากความทรงจำของเชน หรือพูดให้ถูก มันถูกกดไว้ในส่วนลึกของความทรงจำของเชนนั่นเอง เธอยังคงตามหาพี่สาว และเฝ้ารอการกลับมาของเชลลี่อยู่เช่นเดิมมาโดยตลอด)
  • จิ๊กซอร์สตอรี่เพิ่มเติมเกี่ยวกับการหายไปของเชลลี่ อยู่ที่ @GoC_JB  ฆาร์เบียร์ เพื่อนหนุ่มของแฝดสาวระหว่างทำงานที่แรกด้วยกันในบาร์แห่งหนึ่ง และเป็นหนึ่งในผู้ชายที่มีความสัมพันธ์กับเชลลี่ และอีกหนึ่งคนที่กุมความลับไว้คือ @GoC_Lazar คุณหมอลาซาร์ และงานอดิเรกของเขาใน GOC Commu

อุปนิสัย :

  • เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย เรียกได้ว่าโหดและระห่ำน่าดู หนักเอาเบาสู้ ไม่ขี้บ่นไม่โวยวาย แต่อยากได้อะไรต้องได้ (ไม่มีใครทำได้ก็ลงมือหาวิธีเอง) เพื่อเป้าหมายที่ต้องการจะยอมทุ่มเทอย่างมากทั้งร่างกายและจิตใจ
  • เป็นคนสองบุคลิก บางครั้งเงียบเฉยดูไร้อารมณ์ เย็นชา แต่ในยามที่เธอต้องแสงไฟบนเวที เธอจะกลายเป็นสาวน้อยร้อยเล่ห์ ยั่วยวนขี้อ้อนน่าทนุถนอมขึ้นมาเลยทีเดียว แต่ไม่ว่าแบบไหนก็ดูไม่ใช่เชนคนเดิมอีกต่อไปหลังจากการหายไปของเชลลี่
  • นอกจากพี่สาวที่หายสาบสูญไปแล้ว เชนแทบไม่มีความรู้สึกรักใคร่สนิทสนมกับใครเป็นพิเศษเลย ทุกการกระทำเกิดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ และเป็นเพียงความสัมพันธ์อันฉาบฉวยเท่านั้น หากแต่นานวันเข้าเจ้าตัวก็กลับผูกพันกับครอบครัวลูซรอคโดยไม่รู้ตัว
  • ไม่ชอบพูดถึงเรื่องของตัวเองและครอบครัวนัก

ความสามารถ : (สัมพันธ์กับค่าสกิล)

  • เชนเป็นคนที่เรียนรู้และมีทักษะทางร่างกายที่ดี การเรียนรู้ในเรื่องการใช้อาวุธและต่อสู้ทำได้ค่อนข้างดี แต่เน้นไปทางใช้ความว่องไวมากกว่าใช้พละกำลัง
  • ปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งต่างๆค่อนข้างไว เมื่อถูกโจมตี หรือมีสิ่งผิดปกติจะรับรู้ได้เร็วจากนิสัยช่างสังเกต และรู้จักพลิกแพลงสถานการณ์ได้ดี เนื่องจากทำงานด้านการสืบข่าวมาหลายปี
  • แม้ไม่ถือว่าชีวิตของเธอจะมีโชคดีผ่านเข้ามามากนัก แต่เธอกลับเป็นคนดวงแข็งคนหนึ่ง ที่หวิดและรอดตายมาได้หลายครั้งตั้งแต่ทำงานต่างๆให้กับแก๊งมา

แก๊งที่อยากสังกัด : Luzroc (ทีมถุงเท้าที่น่ารัก)

สเตตัส :

       พละกำลัง 4

       ความว่องไว 6

       สติปัญญา 3

       ความแม่นยำ 3

       ความโชคดี 5

*********************************************

Link Fiction by Shayne Brenig

*********************************************

Fiction 01 : Catching Our Dream ….. [GOC] Main Event – 1 : the Territory]

Fiction 02 : RIP Alexis Shelton ….. [GOC] Assassination – 1 : Gladys vs Alexis]

[GOC] Fiction 01 : Catching Our Dream By Shayne Brenig

Fictions นี้เป็นส่วนหนึ่งของคอมมู Gang of Chicago [GOC]

avatar_fbcc1ed07919_128

*********************************************

[GOC] Main Event – 1 : the Territory

Fiction 01 : Catching Our Dream

By Shayne Brenig

*********************************************

Rate : 18+ (มีฉากบรรยายถึงความรุนแรงและเซ็กส์)

Letter Count (by http://www.lettercount.com/): 38,853

Word Count (by MS Words) : 10,064 คำ

Author ‘s Note (By Sena) : ลูกสาวกับเว้นท์แรกคอมมู GOC มีสตอรี่ให้เขียนมากมายจนไม่รู้จะยัดลงไปหมดได้เยี่ยงไร เวลาก็นัดน้อยนิดติดงานหลวง เอาเป็นว่าถ้าอ่านไม่ลื่นไม่สนุกยังไงก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ แต่คนปั่นเว้นท์แข่งเดธไลน์สนุ๊กสนุก!! (…)

……………………………………………………………………………………

Catching Our Dream

 

มหานครชิคาโก้อันคลาคล่ำไปด้วยผู้คน แม้ในยามค่ำคืน แสงไฟจากร้านรวงสว่างจ้ากลบแสงของดวงดาวสุกสกาวเต็มท้องฟ้า พาเอาแสงสว่างซึ่งเดินทางมาไกลหลายล้านปีแสงดูด้อยค่า และไร้ความหมายลงไปถนัดใจ เสียงดนตรีจากเครื่องดนตรีทองเหลืองตามสมัยนิยมดังแว่วไปทั่วทุกแห่งหน บ่งบอกถึงความมีชีวิตชีวาของผู้คนในเมืองที่ไม่ยอมหลับใหล

…ก็เพราะแบบนี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้ชิคาโก้ กลายเป็นมหานครแห่งความฝันของใครต่อใคร ซึ่งพากันหลั่งไหลเข้ามา ราวกับแมลงเม่าตัวจ้อยที่พากันบินหลงเข้าหาแสงไฟ…

ไม่ว่าจะเป็นเงินตรา อำนาจ แม้แต่ความรัก หรือความฝันอันเพริดแพร้ว ก็ดูจะมีพร้อมพรั่งให้ผู้คนได้ตักตวงกันจนหนำใจ แต่จนแล้วจนรอด สิ่งที่ปรารถนาจะครอบครองกลับยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเป็นเงาตามตัว นานวันเข้าก็กลายเป็นการแก่งแย่งช่วงชิง ยิ่งดิ้นรนกระเสือกกระสนไขว่คว้า ในจิตใจของผู้คนก็ยิ่งเหือดแห้งขาดแคลน ไม่ต่างจากหลุมดำอันมืดมิดและว่างเปล่าซึ่งไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ถมกลบได้ไม่เคยเต็ม

ความละโมบ และลุ่มหลง ฉุดรั้งให้ความเป็นมนุษย์ของผู้คนถดถอยลงต่ำ จิตใจเริ่มด้านชาไร้ซึ่งสำนึกผิดชอบชั่วดี แม้ในยามย่างเท้าลงเหยียบย่ำผู้อื่นเพื่อตะเกียกตะกายพาตนเองขึ้นสู่ที่สูงก็ตาม

…แต่ฉันกับเชลลี่ต่างออกไป…วันที่ฉันกับเชลลี่พี่สาวฝาแฝดขอโดยสารรถรับขนสินค้าระหว่างเมืองตรงทางเข้าไฮเวย์มุ่งหน้าออกจากซิเซโร่ เราทั้งคู่ต่างไม่เคยคิดฝันจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวังวนแห่งชิคาโก้เลย

จนถึงวันนี้ฉันก็ยังคงจำความรู้สึกนั้นได้ดี เท้าทั้งสองข้างของเราทั้งคู่ปวดบวมจนแทบจะก้าวเดินต่อไม่ไหวอีกแม้แต่หนึ่งก้าว เชลลี่และฉันจับมือกันแน่น ฉันรับรู้ได้ถึงแรงสั่นน้อยๆจากมือของเชลลี่ ทุกครั้งที่ใครคนหนึ่งสะดุดล้มอีกคนจะช่วยดึงมือให้ลุกขึ้นก้าวต่อไปเบื้องหน้า

สำหรับพวกเราการเดินทางออกจากเมืองเกิดในตอนนั้น ส่วนสำคัญของมันไม่ใช่จุดหมายปลายทาง  เมื่อทุกย่างก้าวไม่ใช่การเดินทางตามหาความฝันเหมือนคนอื่นๆ แต่เป็นการวิ่งหนีอดีต ซึ่งเราทั้งคู่ตั้งใจทิ้งมันไว้เบื้องหลัง อดีตที่พวกเราหวังจะฝังมันไว้ในซิเซโร่ตลอดกาล หากแต่มันยังคงไล่ติดตามพวกเรามา คอยหลอกหลอนอยู่ในความทรงจำทุกครั้งที่ใจเผลอไผลหวนนึกถึง

เชลลี่และฉันตกลงกันว่าจะไม่พูดถึงมันอีก หากแต่ยิ่งเก็บงำ มันก็ยิ่งกัดกร่อนจิตใจ เมื่อต่างคนต่างก็ไม่เคยลืมว่าเราทั้งคู่ทิ้งอะไรเอาไว้เบื้องหลังไม่ว่ามันจะผ่านมากี่ปีแล้วก็ตาม…

……………………………………………….

ยามค่ำในคืนท้องฟ้าปลอดโปร่งเช่นวันนี้ เมื่อหลบออกมาห่างแสงไฟเจิดจ้าของตัวเมืองใหญ่ ผ้าห่มดวงดาวสีดำมืดราวกำมะหยี่ซึ่งโอบคลุมพลันกลับทอแสงระยิบระยับเต็มฟากฟ้า เสียแต่ท้องถนนเบื้องล่างยามนี้ปราศจากผู้คนแหงนมอง ความงามอันเรียบง่ายนี้จึงไม่มีผู้ใดเป็นประจักษ์พยาน

มันช่างเป็นเขตชานเมืองซึ่งเงียบสงบ จนกระทั่งเสียงลมกรีดอากาศหวีดหวิวเป็นเพียงสรรพเสียงเดียวที่ได้ยิน ลมหนาวปลายเดือนพฤศจิกายน พัดหอบเอาความเย็นเยียบและแห้งผาก ลอดผ่านใต้บานหน้าต่างซึ่งถูกยกแง้มไว้ประมาณหนึ่งคืบ เข้าไปในห้องสูทกว้างชั้นบนของโรงแรมกรีนเพลส

ลมหนาวไล้ผ่านผิวเปลือยเปล่าส่วนที่พ้นผ้านวมผืนนุ่มดูน่าอบอุ่นของหญิงสาวบนเตียงกว้าง ความเย็นสะท้านเป็นตัวการปลุกร่างอ้อนแอ้นไม่ต่างจากสาวน้อยวัย 19 ปีทั่วๆไปให้ตื่นจากการหลับใหล แต่ทันทีที่ขยับพลิกกายเพื่อหวังจะซุกไซร้หาไออุ่นหลบลมหนาว ความปวดระบมไปทั้งร่างพลันประท้วง จนเจ้าของร่างบอบบางเผลอส่งเสียงโอดออกมาเบาๆ ริมฝีปากอิ่มได้รูปเม้มสะกดเสียงครางของตนไว้ แพขนตายาวปรือกระพริบช้าๆอย่างเหนื่อยอ่อน

.

.

.

ทันทีที่ลืมตาตื่นมาพบว่าตนนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่ท่ามกลางความมืด คำถามแรกที่ถามตัวเองในหัวคือ… ที่นี่ที่ไหน?…

แล้วระหว่างที่สมองกำลังพยายามปะติดปะต่อความทรงจำอันเลือนลาง คำถามต่อมาก็แล่นเข้ามาในหัวแทบจะทันทีคือ …กับใคร?…

ประสบการณ์ที่ผ่านมาช่วยให้ตนหาคำตอบได้ไม่ยาก ด้วยสภาพร่างกายปวดระบมจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เป็นเครื่องบอกใบ้ให้คร่าวๆ ว่าเจ้าของเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ ซึ่งนอนทอดกายข้างๆตนในค่ำคืนนี้คงไม่ใช่ใครที่ไหน…

ฉันระบายลมหายใจออกยาวอย่างโล่งใจทันทีที่ได้คำตอบให้ตัวเอง อย่างน้อยเขาก็เป็นหนึ่งในบรรดาน้อยคนที่ฉันไว้วางใจ รอเวลาให้สายตาปรับเข้ากับความมืดซึ่งปกคลุมไปทั่วห้องได้แล้ว ค่อยเอี้ยวตัวไปมองร่างที่เห็นเป็นเพียงเงาตะคุ่ม ด้วยผิวสีน้ำผึ้งเข้มพาเอาร่างแกร่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามกำยำสมวัยหนุ่มแน่น ชวนให้สาวๆน้อยใหญ่หลงใหลนั้น แทบกลืนหายไปกับความมืด…

…จริงสิ… นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ช่วงหัวค่ำเมื่อคืนนี้ หลังเสร็จจากงานร้องเพลง …คุณท่าน… นายใหญ่แห่งลูซรอค ให้คนมารับฉันจากบาร์บลูเบล อันเป็นไนท์คลับบริเวณชั้นใต้ดินของโรงแรมแห่งนี้พาขึ้นมายังห้องสูทชั้นบนที่เปิดไว้

คุณท่านมักจะเปิดห้องค้างคืนที่นี่เพื่อประหยัดเวลาเดินทาง ในวันที่มีประชุมตอนเช้ากับคุณทิลแมนน์ และ คุณโธมัส… ไนท์ และบิชอปคนสนิทในแก๊งค์ลูซรอค รวมทั้งกับฉันด้วย…

ใครจะไปคาดคิดล่ะว่า เด็กสาวซึ่งครั้งหนึ่งเคยเนื้อตัวมอมแมม นอนอดอยากในตรอกหลังบาร์ อาศัยเพียงลังกระดาษเก่าๆบังลมหนาวเมื่อไม่กี่ปีก่อน วันนี้จะมายืนอยู่ข้างกายผู้ชี้เป็นชี้ตายของแก๊งค์ที่กำลังแผ่ขยายฐานอำนาจได้รวดเร็วอย่างลูซรอคได้

ไม่นานมานี้ใครต่อใครยังมองฉันด้วยความแปลกใจอยู่เลย เมื่อเห็นภาพของฉันควงคู่คุณท่านร่อนไปไหนมาไหนทั่วชิคาโก้ บางคนก็ออกอาการค่อนขอดด้วยความริษยา ในขณะที่หลายคนปรายตามองฉันด้วยสายตาดูแคลน หลังตีค่าความสัมพันธ์ของฉันกับคุณท่านเป็นเพียงคู่นอน คู่ควง หรือ ‘เด็ก’ ของคุณท่านอลอนโซ่

จริงอยู่ที่ฉันไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ยามปราศจากเชลลี่ ฉันเริ่มรู้สึกเคว้งคว้าง และอดีตอันเลวร้ายก็เริ่มตามมาหลอกหลอนเป็นภาพฝันยามค่ำคืนจนไม่อาจข่มตาหลับลงได้ มีก็แต่การได้ออกแรงโหมบทรักหนักหน่วงในแต่ละค่ำคืน จนร่างกายอ่อนล้าเพียงพอเท่านั้น ที่ช่วยให้ในหัวของฉันว่างเปล่าจนผล็อยหลับลงได้

แม้ความสัมพันธ์ทางกายที่มีจะเป็นเพียงการเติมเต็มความต้องการของกันและกัน หากแต่สิ่งที่ยึดเหนี่ยวผูกพันตัวฉันไว้กับบุรุษหนุ่มขี้เหงาช่างเอาแต่ใจในอ้อมกอดนี้ต่างหากที่สำคัญกว่า…

…4 ปีแล้วสินะ ตั้งแต่ลุงจอห์นสันเจ้าของบาร์บลูเบลแนะนำให้ฉันได้รู้จักกับคุณท่าน…

…4 ปีแล้วที่ตนได้หลบพักอย่างอบอุ่นปลอดภัยใต้ปีกใหญ่ของลูซรอค…

ในยามที่ตนรู้สึกเหมือนถูกทิ้ง ปล่อยคว้างกลางกระแสอันเชี่ยวกรากที่เรียกว่า ‘ชีวิต’ ถูกถาโถมด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘ความผิดหวัง’ และ ‘การหักหลัง’ ผู้ซึ่งยื่นมือลงมาฉุดร่างของฉันขึ้นไป ให้ที่พักพิง และเอื้อเอ็นดูก็คือ…คุณท่าน…

บุรุษผู้เปรียบประดุจเตาผิงอันอบอุ่นในฤดูหนาว ดั่งโอเอซิสกลางทะเลทราย และเป็นคนผู้เดียวที่ฉันเลือกจะฝากชีวิตไว้ในเวลานี้… คนผู้เดียวที่เชื่อมั่นและผลักดันตัวตนแท้จริงของฉันให้ขึ้นสู่จุดสัมผัสกับคำว่า ‘อำนาจ’ เพื่อให้ได้มาซึ่งความปรารถนาที่ฉันเคยละทิ้งมันไปนานแล้ว พร้อมๆกับการหายตัวไปของเชลลี่

…จุดที่ชื่อของ…เชน เบรนิก… จะถูกจดจำในนามของ …‘ควีนแห่งลูซรอค’…

.

.

.

ฉันไม่รู้เลยว่าตัวเองผล็อยหลับไปอีกครั้งตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้สึกตัวอีกทียามตอหนวดสากกร้านบนใบหน้าคนที่นอนกอดกันอยู่ขยับเข้ามาซุกซบ ฉันครางอืมพลางบิดกายแผ่วเบาในอ้อมกอดอบอุ่นของอีกฝ่าย ลมหนาวพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างพอให้กายสั่นสะท้าน จนต้องขยับเบียดร่างของตนแนบกอดแผ่นอกแน่นอันเปลือยเปล่าของชายหนุ่มเข้าไปอีก

“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณท่าน” ฉันเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม เมื่อลืมตามาสบเข้ากับดวงตาสีดำขลับซึ่งมองมาอยู่ก่อนแล้วของอีกฝ่าย ริมฝีปากหยักได้รูปเบื้องหน้าเย้ายวนให้จรดสัมผัสลงอย่างห้ามไม่อยู่ นิ้วเรียวลูบไล้ปลุกเร้าคนงัวเงียตรงหน้าให้ตื่นตัวขึ้นมารับไออุ่นยามอรุณรุ่ง หากแต่สัมผัสนั้นคงเกินเลยไปบ้างสำหรับคนหนุ่มวัยกำหนัดอย่างอลอนโซ่ สัมผัสตอบรับจึงกลับมาอย่างร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายซึ่งผ่านค่ำคืนอันหนักหน่วงยังคงอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน ได้แต่เกาะกุมร่างแกร่งไว้แน่นอย่างต้องการการยึดเหนี่ยว แต่ละสัมผัสพาเอาทั้งร่างเกร็งกระตุกอย่างรุนแรงด้วยความเจ็บปวด…

…กริ๊งงงงงง….. กริ๊งงงงงงงง…

ฉันหลุดจากภวังค์ทันทีที่เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะหัวเตียงดังแทรกขึ้นระหว่างกิจกรรมรักยามเช้า

…คงจะเป็น…ทอม… คิดได้เพียงเท่านี้ ในหัวก็พลันว่างโล่งอีกครั้ง ร่างกายเคลื่อนไหวเป็นจังหวะไปตามอารมณ์เร้า เสียงครางของตนเองดังก้องในหัวกลบเสียงสนทนาระหว่างปลายสายไปหมดสิ้น

…เชลลี่…

…แปลกดี… ทุกครั้งที่ความรู้สึกเจ็บปวดแผ่ซ่าน… ฉันรู้สึกเหมือนได้สัมผัสเธออีกครั้ง…ร่างกายที่บิดเร่าทรมานอยู่ในตอนนี้…มันเหมือนไม่ใช่ร่างกายของฉัน… ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ความเจ็บปวดเป็นเพียงวิธีเดียวที่ทำให้ฉันได้รู้สึกเหมือนได้สัมผัสเธออีกครั้ง…

…อา…เชลลี่…

…ฉัน…คิดถึงเธอ…

……………………………………………….

โรงแรมกรีนเพลส เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวด้วยความสูงเพียง 4 ชั้น ตั้งอยู่ในย่านชานเมืองชิคาโก้ซึ่งผู้คนไม่พลุกพล่านนัก ภายนอกตกแต่งเพียงเรียบๆ แต่ภายในค่อนข้างหรูหรา ดูน่าสบายพอสมควร อาจเพราะมันไม่จำเป็นต้องง้อรายได้จากแขกขาจรซึ่งมาเข้าพักมากนัก ด้วยกระแสรายได้หลักที่ไหลผ่านบัญชีไม่ขาด คือรายได้ของธุรกิจอื่นๆภายใต้การบริหารของลูซรอค

สำหรับที่นี่การบริหารจัดการแบ่งออกเป็นสามส่วนหลักๆคือ การบริการด้านโรงแรมห้องพัก ห้องอาหาร และบาร์ซึ่งอยู่ชั้นใต้ดิน

ส่วนของห้องอาหาร มีการแบ่งเป็นห้องอาหารเล็กซึ่งแยกไว้เป็นสัดส่วน ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวสูง จึงมักถูกใช้เป็นห้องประชุมและคุยงานของคนในแก๊งค์ลูซรอค

คุณท่านและฉันลงมานั่งทานอาหารกันได้ไม่นาน ไนท์ก็ปรากฏตัว ทักทายกันพอหอมปากหอมคอ บิชอปก็ปรากฏตัวตามมา เนื้อหาของการพูดคุยในเบื้องต้นเป็นการอัพเดทสถานะในปัจจุบัน แต่พอพูดถึงการขยายตลาดไปจับพวกแอลกอฮอร์ และการหาหน้าร้านใหม่ๆเพื่อขยายกิจการค้ามนุษย์ที่ถูกเปลี่ยนไปเรียกให้ฟังดูดีว่า… ‘การซื้อขายบุคคล’…ผู้ร่วมประชุมก็ลอบมองคุณท่านเป็นตาเดียว

“…ดูท่าจะรอแต่ให้คนติดต่อเข้ามาคงไม่ไหว เลยว่าจะเปิดหน้าร้านเพิ่มอีกสักแห่งจัดขายของเราเอง อยากให้ไปสำรวจตึกดีๆ สวยๆ ให้หน่อย แล้วก็เชน ฝากเคลียร์สินค้าทีนะ”

คุณท่านหันมาสั่งงานเรียบๆ ฉันเองก็รับคำเพียงสั้นๆ ด้วยความเคยชิน

“ได้ค่ะ”

ในฐานะคนที่เรียนมาน้อยอย่างฉัน การได้อยู่ใกล้ๆคุณท่านทำให้ฉันมองและเห็นโลกได้กว้างไกลออกไป หลายต่อหลายครั้งบอสใหญ่ของลูซรอคได้แสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจอันเฉียบขาดและชาญฉลาด รวมถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ขัดกับท่าทางที่ดูเรื่อยๆเป็นกันเอง และเหมือนไม่ใส่ใจในงานสักเท่าไหร่ที่เคลือบฉาบไว้ ฉันจึงไม่แปลกใจเลยถ้าจะมีใครมองข้ามหรือประมาทมีดคมกริบที่ซ่อนอยู่ในฝัก อย่างคุณท่านอลอนโซ่

“เรื่องแอลกอฮอล์…ฉันถือว่าตัดสินใจสตาร์ทช้าไปเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ว่ากันตามตรงฉันไม่นึกว่ากฎหมายตลกๆ นั่นจะอยู่ได้นานหลายเดือนขนาดนี้ แต่ไหนๆ มันก็สามารถขนส่งและนำเข้าง่ายกว่าโคเคน ฉันจึงจะทำธุรกิจนี้เพิ่มอีกสักอย่าง เช่นกัน…ฉันอยากได้บาร์สวยๆ สักแห่ง มาเป็นแหล่งระบายสินค้าด้วย … ทิล นายไปสำรวจเรื่องอาคารสำหรับงานแรก ทอม นายไปดูเรื่องบาร์สำหรับงานที่สอง ส่วนเชน ถ้าเสร็จงานเคลียร์สินค้าแล้วก็ไปรวมกลุ่มกับทอม”

เมื่องานที่สองที่ฉันได้รับมอบหมายต้องประสานงานกับทอม เราจึงหันไปหารือกันคร่าวๆในรายละเอียดระหว่างคุณท่านกำลังแจกแจงรายละเอียด และตอบข้อซักถามของทิลแมนน์ ถึงงานในส่วนซึ่งไนท์จะเป็นหัวหน้าทีมในการดำเนินการ

“เรื่องบาร์ จะเอาที่ลับตาคนแต่ขายเปิดเผยหรือขายอย่างอื่นบังหน้าดีครับ” ทอมเอ่ยถามขึ้น

“เปิดเผยไม่ดีหรอก ค่าส่วยจะแพงขึ้น” คุณท่านตอบก่อนทำหน้าหน่าย

ทอมพยักหน้าช้าๆคล้ายกำลังใช้ความคิด

“งั้นก็ต้องปรับร้านนิดหน่อย…น่าจะหาที่ทำเลดีๆได้แหละครับ”

“จะรอดูนะ” คุณท่านตอบรับสั้นๆ ก่อนจะยิ้มฮิให้ แปลความง่ายๆก็คือไปทำมาให้เสร็จๆนั่นแหละ

“ถ้าเช่นนั้น… ไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวไปดำเนินการ เรื่องการกำจัดขยะนะคะ” เมื่อรับทราบการแจกงานเสร็จ ฉันก็ขยับทำท่าจะลุกไปซะเดี๋ยวนั้น ตามประสาคนใจร้อน อยากจะทำให้มันเรียบร้อยโดยไว

“ฮะฮะ เอาสิ โปรเจคส่งท้ายปลายปีฉันก็ประมาณนี้ล่ะ ถ้ามีเรื่องอะไรติดขัดให้รีบกลับมาบอก”

ฉันลุกขึ้นยืน หันไปยิ้มให้คุณท่านก่อนโน้มลงจรดริมฝีปากลงบนริมฝีปากอีกฝ่ายเบาๆ เป็นเชิงลา ก่อนจะหมุนตัวก้าวเดินไปทางประตู ฉันสบตาและก้มศีรษะนิดนึงเป็นเชิงขอตัวกับทอมและทิล ก่อนเปิดประตูห้องออกไป

…งานที่ฉันได้รับมอบหมายจากคุณท่านไม่ว่าเรื่องใด… ต้องไม่มีคำว่าพลาด…

……………………………………………….

ฉันกับทอมแบ่งกันมอบหมายงานให้กับสมาชิกในทีม ถึงจะเรียกว่าทีมทำงานแต่ส่วนใหญ่แรงงานที่ลูซรอคเลือกใช้ก็มักเป็นเด็กๆ วัยหนุ่มสาวที่โตมากับมูลนิธิเป็นส่วนใหญ่ หนึ่งในนั้นก็คือ ครูซ ซีโน่

ฉันยืนล้วงกระเป๋ากางเกงสแลคอยู่ข้างสนามหญ้าของมูลนิธิ ตามองตามเด็กหนุ่มวัยรุ่นอายุไม่เกิน 15 – 16 ปี ผมสีน้ำตาลเข้มซึ่งกำลังวิ่งเลี้ยงบอลหลบฝ่ายตรงข้ามไปมาอย่างคล่องแคล่ว ดวงตาสีฟ้าของเขาส่องประกายสดใส น่าเสียดายที่วัยเยาว์อันเต็มไปด้วยความสนุกสนานและสดใสเป็นเหมือนกระแสน้ำซึ่งมีแต่จะไหลผ่านไป ก่อนทิ้งตัวลงจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ

ไม่มีใครหรอกอยากได้ชื่อว่าเป็นคนร้าย ซึ่งพรากเอาความฝันและความเดียงสาของเด็กเหล่านี้ไป มีก็แค่ความเป็นจริงของชีวิตที่ผู้คนต้องดิ้นรน เพื่อให้ตนอยู่รอดได้ต่างหากที่เราควรกล่าวโทษมัน

รอจนดวงตาสีฟ้าใสหันมาสบกัน ฉันจึงยกมือขึ้นกวักเรียกอีกฝ่าย เด็กชายหันไปโบกมือเป็นเชิงขอตัวเพื่อนๆในสนามก่อนวิ่งตรงมาหา

“คุณเชน ?” อีกฝ่ายเอ่ยทัก ปลายเสียงสูงแสดงความแปลกใจกับการมาหาอย่างเจาะจงของฉัน

ฉันเพียงยกยิ้มบางตอบรับ ก่อนตรงเข้าประเด็นอย่างไม่มีพิธีรีตองนัก

“มีงาน… นายพร้อมได้เร็วสุดเมื่อไหร่น่ะครูซ?”

“งานด่วนเหรอครับ ? จริงๆผมก็กำลังว่างอยู่พอดี ไปเตรียมตัวตอนนี้ก็น่าจะพร้อมเลยครับ”

ฉันหัวเราะเบาๆอย่างพอใจกับคำตอบ… การทำงานกับเด็กๆมีข้อดีก็ตรงนี้… ความกระตือรือร้นจนเราสามารถได้กลิ่นอายของความตื่นเต้นและสนุกสนาน ไม่ว่ามันจะเป็นงานโสมมขนาดไหนก็ตาม

“ไม่ด่วนขนาดนั้นหรอก นายพักเคลียร์ตัวเองให้เรียบร้อยก่อนก็ได้ แล้วตามไปเจอฉันที่ห้องทำงานแล้วกัน”

ฉันตบบ่าครูซเบาๆ ก่อนหันเดินกลับเข้าไปรอในตัวตึกของมูลนิธิซึ่งมีห้องทำงานของฝ่ายบริหารจัดการงานของแก๊งค์ลูซรอคอยู่

ยังไม่ทันหย่อนตัวนั่ง เสียงฝีเท้าอีกฝ่ายก็เดินตามหลังเข้ามาแทบจะทันที

“งานเกี่ยวกับอะไรเหรอครับ ?”

ฉันหันไปมองตาปริบๆกับสภาพอีกคนซึ่งเนื้อตัวยังคงมอมแมมในสภาพเดิม เพียงแค่ผมเผ้าที่โดนลมเมื่อครู่ถูกจัดให้เข้ารูปขึ้นเล็กน้อย

…เด็กผู้ชาย…

ฉันระบายลมหายใจยาว ก่อนจะยิ้มอ่อนอย่างไม่ถือสาอะไรนัก ฉันเลือกหยิบเอกสารจากแฟ้มงานที่เตรียมไว้บนโต๊ะ แล้วลุกขึ้นเดินนำอีกคนเข้าไปในห้องประชุมเล็กด้านในซึ่งบัดนี้ว่างอยู่ พลางสั่งอีกคนโดยไม่ได้หันไปมองด้วยซ้ำ

“ปิดประตูล็อคด้วยครูซ”

ฉันเลือกนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง หยิบแผนที่เมืองชิคาโก้และข้อมูลของบาร์เป้าหมายที่ได้จากทอมออกมากางบนโต๊ะ

“นั่งสิ…” ฉันเอ่ยเชิญและครูซก็ขยับมานั่งข้างๆ

“งานลงพื้นที่เหรอครับ?”

“อื้ม… คุณท่านอยากขยายกิจการ เป็นไปได้ก็อยากจะได้บาร์สักแห่งมาเพิ่มเป็นฐานธุรกิจน่ะ ทางทิศตะวันตกของพื้นที่ในความดูแลของลูซรอคมีบาร์ที่น่าสนใจอยู่แห่งนึง ชั้นอยากให้นายเข้าไปสำรวจ หาข้อมูลมาให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้”

“มีระยะเวลาให้เท่าไหร่น่ะครับ?”

ฉันอดยิ้มกับคำถามอีกฝ่ายไม่ได้ ดวงตาที่รีลงแฝงแววเจ้าเล่ห์นิดๆก่อนตอบด้วยเสียงกลั้วขำเบาๆในลำคอ

“ขึ้นกับฝีมือน่ะครูซ… เอาเข้าจริงคืนนี้พวกเราหลายคนคงไปรวมตัวกันที่นั่นเพื่อดูลาดเลากันก่อน นายไปหาทอมที่บาร์ได้เลย ชั้นมีงานต้องทำก่อนอาจจะไปถึงช้าหน่อย”

“เอ๋ มีใครบ้างน่ะครับ? ถ้าขึ้นอยู่กับฝีมือ…ผมขอใช้คนอื่นๆช่วยหาข้อมูลด้วยได้มั้ยน่ะครับ รึว่าเรื่องนี้เป็นความลับ?”

ฉันขยับนิ้วเรียวลูบริมฝีปากยามใช้ความคิด

“นายไปคนเดียวดีกว่า งานนี้เราล้ำเขตไปใกล้เจโนเวซี่ ชั้นไม่อยากให้เรื่องไปเข้าหูทางนั้น คงจะใช้แค่คนของลูซรอคเท่านั้นจะดีกว่า”

ฉันตัดสินใจบอกปัด ส่วนหนึ่งตามเหตุผลที่บอกไป อีกส่วนหนึ่งเพราะเป็นสไตล์การทำงานของฉันที่ไม่ชอบให้มีคนรู้มากเกินไป นิสัยไม่ยอมไว้ใจใครของฉันมันฝังรากลึกจนเกินแก้ไปเสียแล้ว

“ครับ ต้องเตรียมตัวเผื่อการปะทะด้วย…” เด็กหนุ่มรับคำขณะสายตายังมองดูแผนที่

ฉันนึกสะกิดใจบางอย่างจึงเอ่ยถาม

“ปกตินายใช้อาวุธอะไร?”

“เอ่อ…มันไม่ใช่ของดีอะไรหรอกครับ มันเก่านิดหน่อยเพราะผมได้มาตอนผม 9 ขวบน่ะครับ”

ครูซหยิบมีดพกที่เก็บเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงออกมาให้ดู และวางลงบนมือเมื่อฉันขอดู รับมาแล้วฉันก็ลองกะน้ำหนัก และหมุนมองอย่างสนใจ

“ของดูต่างหน้าใครบางคนหรือเปล่า?”

ฉันเปรยถามลอยๆ แต่ลอบสังเกตเอาจากท่าทางของอีกฝ่าย ครูซเงยหน้าขึ้นมองฉันด้วยสีหน้าตกใจก่อนตอบเสียงแปร่งแปลกนิดๆ คล้ายเจ้าตัวกำลังพยายามข่มเสียงให้เป็นปกติมากที่สุด

“คุณ…แม่…น่ะครับ…คุณแม่ให้ผมมา”

“ขอโทษที ทำให้ลำบากใจรึเปล่า? ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวไม่จำเป็นต้องเล่าหรอกนะ”

ฉันตัดบทให้ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง พร้อมยื่นมีดพับคืนเด็กหนุ่ม ไม่ว่าใครก็มีเรื่องที่ไม่อยากจะเอ่ยถึงเป็นธรรมดา และฉันก็เข้าใจเรื่องนั้นดีและเคารพที่จะไม่ล่วงล้ำในความเป็นส่วนตัวนั้น

“ไม่เป็นไรหรอกครับ…จริงๆมันก็แค่ของเก่าๆขอแค่ยังใช้งานได้ก็พอ” อีกฝ่ายหัวเราะอย่างสบายใจขึ้นพร้อมเก็บมีดคืนใส่ในกระเป๋า

“อืม… อาจมีการปะทะได้ ชั้นอยากให้นายระวังตัวให้มากเราเป็นแก๊งค์เล็กๆ  ไม่จำเป็นก็ไม่อยากให้เปิดศึกกับใครโดยไม่จำเป็น การใช้ความรุนแรงจะเป็นทางเลือกสุดท้ายเข้าใจไหมครูซ?”

ฉันวางมือลงบนผมเด็กชายเบาๆอย่างอ่อนโยนแต่ก็หนักแน่นพอ จะถ่ายเทความอบอุ่นจากฝ่ามือไปที่อีกคน

“ครับ จะพยายามระวังครับ”

ฉันลดมือลง แต่เปลี่ยนมานั่งเท้าคางมองอีกฝ่าย

“คนของลูซรอค ถือเป็นครอบครัวเดียวกัน ชั้นอยากให้นายรู้ไว้ ว่าความปลอดภัยของทุกคนคือสิ่งที่ชั้นให้ความสำคัญที่สุด”

คำพูดหวานหู… ความห่วงใยราวกับครอบครัว สิ่งที่เด็กเหล่านี้ขาด… ที่ฉันทำก็แค่เติมตัวเองลงไปในช่องว่างของจิ๊กซอว์เหล่านั้น ฉันรู้มานานแล้ว…ว่าการถูกเติมเต็มในสิ่งที่โหยหานำมาซึ่งความรักและภักดีง่ายดายเพียงใด…

“ครับ ผมเองก็หวังว่าจะไม่มีการปะทะอะไรเกิดขึ้น…ในทีมนอกจากคุณทอมแล้วคนอื่นๆล่ะครับ?”

“ไปถึงแล้วก็รู้เองนั่นล่ะ” ฉันยิ้มให้แทนคำตอบ ยังไงซะการมอบหมายงานของตนก็มักไม่ให้ข้อมูลเกินความจำเป็นอยู่แล้ว มือเอื้อมไปเปิดแฟ้มหน้าที่มีข้อมูลเก่าเบื้องต้นของบาร์ที่เป็นเป้าหมาย แล้วเลื่อนไปตรงหน้าอีกฝ่าย “มีอะไรอย่างอื่นสงสัยอยากถามไหม?”

“ไม่ครับ เอ่อ…ผมอ่านหนังสือไม่ออก ถ้าเป็นไปได้ขอเป็นพวกแผนที่บาร์ได้มั้ยครับ ?”

ฉันรับคำแล้วดึงแฟ้มเอกสารกลับมาเปิดหาหน้าแผนที่ แล้วยื่นให้ใหม่ ปัญหาหนึ่งของเด็กๆในลูซรอคก็คือเรื่องความรู้ และทักษะการอ่านเขียน แม้แต่ฉันเองก็อ่านออกเขียนได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น…บางทีฉันน่าจะลองเสนอคุณท่านให้ทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้… ความคิดเล็กๆไหลผ่านเข้ามา

“ชั้นมีบางอย่างต้องทำก่อนไปที่บาร์ ถ้าไม่มีอะไรแล้วพบกันคืนนี้…ครูซ…”

จบคำฉันก็ขยับลุกจากเก้าอี้ ปล่อยให้อีกคนใช้เวลาดูข้อมูลในแฟ้มเอกสารที่เตรียมไว้ให้ต่อ

“ครับ ขอให้งานที่ไปทำราบรื่นนะครับ คุณเชน”

คำอวยพรที่ไม่ค่อยได้ยินเรียกให้ตนชะงักไปนิด จึงหันไปยิ้มให้เด็กหนุ่ม แล้วเอามือขยี้ผมอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู “…ขอบใจ…”

ครูซหลับตาลงด้วยท่าทางตกใจ ก่อนจะคลี่ยิ้มให้ รอยยิ้มที่ทำเอาฉันนึกภาพไม่ออกเลยจริงๆ สีหน้าของเด็กคนนี้ยามต้องฆ่าใครสักคน… ฉันกระดิกนิ้วดีดเหม่งเจ้าเด็กหน้าละอ่อนดังเพี๊ยะไปทีอย่างนึกหมั่นไส้

“ยิ้มแล้วน่ารักดีนี่ ฮะๆๆ”

ฉันเอ่ยแซวอย่างอารมณ์ดีขึ้น ขณะที่คนถูกดีดผงะถอยหลังแล้วลูบหน้าผากป้อย

“โดนผู้ชายด้วยกันชมว่าน่ารักนี่มันแปลกๆนะครับ”

…อา… หมอนี่ยังไม่รู้สินะว่าฉันคือเชลลี่…

แม้จะรู้ว่าหลายคนในแก๊งค์ยังไม่รู้เรื่องที่ เชนและเชลลี่ คือคนเดียวกัน แต่ตนก็ไม่คิดจะให้ความลับนี้กระจายออกไป แม้ที่ผ่านมาจะไม่ถึงกับปิดบัง แต่การปล่อยให้ใครต่อใครเข้าใจว่าคนที่ร้องเพลงอยู่บนเวทีของบาร์บลูเบลคือเชลลี่ก็เป็นข้อดีมากกว่าข้อเสีย การถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กหนุ่ม หรือเป็นคนละคนกันกับเชลลี่ จึงไม่ใช่เรื่องที่ตนใส่ใจจะแก้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

“น่ารักก็บอกน่ารัก ชั้นไม่ชอบโกหกนี่”

“ปกติคำว่าน่ารักเขาเอาไว้ใช้กับเด็กผู้หญิงแต่ผมเป็นผู้ชายนะครับ จริงๆต้องบอกว่าเท่ห์สิ” อีกฝ่ายพยายามให้เหตุผลอย่างจริงจังจนฉันเองนึกขำ

…บางที ถ้าฉันมีน้องชายสักคน…จะเป็นยังไงนะ…

“แค่ยิ้มเนี่ยนะ จะให้ชมว่าเท่ห์” ฉันแกล้งเอียงคอมองอย่างกวนๆ

“ไว้… ทำอะไรที่มันเท่ห์ๆแล้วค่อยมาแก้ละกัน… ระหว่างนี้นายก็…น่ารักไปซะ”

ฉันสรุปให้อย่างเอาแต่ใจแล้วพาลนึกไปถึงคุณท่าน… บางทีโรคเอาแต่ใจอาจจะเป็นโรคติดต่อ…

“ขี้โกงนี่นา คอยดูเถอะไว้สักผมอายุ 20 ผมจะสูงกว่าแล้วก็เท่ห์กว่าให้ดู”

เด็กหนุ่มยังคงเถียงอุบอิบอย่างไม่ยอมแพ้ แต่โดนฉันซึ่งกอดอกมองตอบ ทำหน้าเบื่อใส่

“อีกตั้งหลายปีนี่นะ ต้องรอถึง20เลยเหรอ?”

“ก็ถ้าเป็นตอนที่ 20 แล้วก็เป็นผู้ใหญ่ ตัวก็น่าจะสูงกว่านี้ แถมปกป้องพวกผู้หญิงได้ตอนนั้นก็น่าจะเรียกว่าเท่ห์ได้ล่ะ” คนตอบยู่หน้า

“…. ลองคิดสิ่งที่ทำได้ตอนนี้มาสิ… เป็นการบ้าน” รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของฉันก่อนตัดสินใจผละจากอีกฝ่ายเดินไปที่ประตู ประโยคที่ตัดสินใจไม่พูดออกไปในตอนนั้นแต่มันดังก้องอยู่ในหัวฉัน

…การปกป้องคนสำคัญน่ะ… ไม่ต้องรอถึงอายุ 20 หรอกครูซ… เมื่อนายพร้อม… พร้อมที่จะแปดเปื้อนและรับสิ่งแล้วร้ายทั้งหมดไว้ที่ตัวนายได้ก็พอ…

……………………………………………….

ก่อนจะแวะไปจัดการงานที่ได้รับมอบหมายบริเวณท่าเรือช่วงค่ำวันนี้ ฉันแวะไปหาลีโอ เด็กสาวห้าวๆที่ดูจะมีอะไรคล้ายๆฉันอยู่มาก หากแต่อีกฝ่ายดูจะพูดน้อยและเก็บตัวอยู่สักหน่อย ซึ่งฉันถือเป็นข้อดีสำหรับงานที่ต้องการให้เป็นความลับ ครั้งนี้คุณท่านสั่งลงมาอย่างเจาะจงให้พาเด็กคนนี้ไปลองงาน แน่นอนว่าถ้าไม่ผ่านก็หมายถึงกำจัดทิ้งได้ทันที…

ลีโอมักจะใช้เวลาอยู่ที่โบสถ์เพื่อเรียนหนังสือกับบาทหลวงในช่วงเช้า ฉันนั่งรอตรงม้านั่งฝั่งตรงข้ามโบสถ์พร้อมกับขนมปังหนึ่งก้อนในมือสำหรับบิโปรยให้นกพิราบ นั่งให้อาหารนกฆ่าเวลาเพลินๆ เสียงเด็กๆเจี๊ยวจ๊าวยามพากันออกมาจากโบสถ์เรียกให้ตนเงยหน้าขึ้นมอง เด็กส่วนใหญ่ที่มาเรียนที่นี่อยู่ในวัยเล็กกว่าลีโอมาก ทำให้ร่างผอมบางของอีกฝ่ายสังเกตเห็นได้ไม่ยากนัก พออีกฝ่ายประสานสายตามาตนจึงยิ้มให้ ยกมือทักทายนิด แต่ไม่ได้ลุกไป เพียงแค่นั่งรอจนอีกฝ่ายเดินข้ามถนนมาหา

“พี่มาทำอะไรแถวนี้น่ะฮะ?”

“มาหาลีโอนั่นล่ะ นั่งสิ” ฉันตีที่ว่างบนม้านั่งข้างๆตัวเป็นเชิงเรียกให้อีกฝ่ายนั่งลง

เด็กสาวเบื้องหน้าที่แต่งเนื้อแต่งตัวคล้ายเด็กผู้ชาย เอียงคอมองงงๆ ก่อนนั่งลงข้างๆอย่างว่าง่าย

“มีเรื่องอยากให้ช่วยน่ะ… งานลงพื้นที่…อาจจะอันตรายบ้างนิดหน่อย นายพร้อมได้เร็วสุดเมื่อไหร่?”

แม้จะพูดว่าให้ช่วย แต่ก็ฟังดูไม่มีทางเลือกให้อีกฝ่ายได้ปฏิเสธมากนัก

“ได้ทุกเมื่อฮะ” เด็กสาวตอบทันทีด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงห้าวๆแบบเด็กผู้ชาย

ฉันยิ้มกว้างพอใจกับคำตอบ วางมือลงบนเรือนผมสีน้ำตาลเข้มของอีกฝ่ายแล้วขยี้เบาๆอย่างเอ็นดู

“ดี… งั้นคืนนี้ไปที่บาร์ โอลิเวียร์ แอนด์ มาร์คอฟ ทางตะวันตกรู้จักไหม?”

ฉันเอ่ยถาม รอจนอีกคนพยักหน้ารับ จึงค่อยอธิบายต่อ

“ทอมจะรออยู่ที่นั่น พกอาวุธที่นายมีไปด้วยแต่อย่าให้เอิกเกริก ห้ามบอกใครทั้งนั้น ทำได้ใช่ไหม?”

ระหว่างที่คุยอยู่มีผู้ปกครองเด็กหลายคนที่มารับลูกหลานหันมามอง ตนจึงยื่นขนมปังในมือแบ่งให้คนข้างๆ บิโปรยให้นกพิราบบ้าง

“ครับ…” ลีโอตอบรับสั้นๆ แล้วรับขนมปังไปทำแบบเดียวกัน

ความเงียบจนคาดเดาได้ยากทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“มีอะไรหนักใจรึเปล่า ลีโอ?”

อีกคนส่ายหัวพลางยิ้มตอบบางๆ

“ไม่มีอะไรฮะ แค่คิดว่างานนี้คงต้องพยายามหน่อย”

“…อันที่จริง… ถ้าพร้อมตั้งแต่ตอนนี้ ไปช่วยงานฉันที่ท่าเรือก่อนไหม?”

ฉันทำทีเป็นเอ่ยชวนทั้งที่ตั้งใจจะพาอีกคนไปทำงานนี้ด้วยกันแต่แรกแล้ว

“เอาสิฮะ”

ลีโอตอบรับอย่างกระตือรือร้นมากจนฉันเริ่มเป็นห่วงขึ้นมาจริงๆ จึงค่อยเอนหน้าไปใกล้ใบหน้าอีกฝ่ายเอ่ยถามเสียงเบาเท่าเสียงกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน ทั้งที่บริเวณใกล้ๆนั้นก็ไม่มีบุคคลอื่นอยู่แม้แต่คนเดียว

“เคยฆ่าคนรึเปล่า?”

คำถามนั้นเรียกแววตาไหววูบของเด็กสาววัยเยาว์เบื้องหน้าฉันได้ชะงัดนัก ก่อนเจ้าตัวจะส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่ฮะ..”

“ถ้าต้องทำทำได้รึเปล่า?”

ลีโอนิ่งคิดพักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าตอบ “…ผมว่าผมทำได้”

ฉันนึกเอ็นดูและพอใจกับคำตอบของอีกฝ่าย เด็กสาวในวัย 17 ปี ต่อให้ดูห้าวเพียงใดข้างในก็ยังคงเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งเท่านั้น ยิ่งถ้าไม่ใช่คนที่ผ่านเรื่องราวร้ายๆมาล่ะก็… เมื่อเทียบกับการต้องฆ่าใครสักคน…มันคงไม่ใช่เรื่องที่ทำใจยอมรับได้ง่ายๆ

“ไม่กลัวเหรอ?”

“กลัว…แต่ถ้าไม่ทำ ผมเองก็จะเป็นฝ่ายที่ตาย…” เด็กสาวพยักหน้ารับก่อนเงยหน้าสบตาของตน แววตาสีฟ้าของลีโอในตอนนั้นเป็นแววตาที่ทำให้ฉันเหมือนได้คำตอบสำหรับตัวเอง…

…ใช่แล้วล่ะลีโอ… นี่คือโลกใบนี้…

“อื้ม… ตัดสินใจซะตั้งแต่ตอนนี้ ว่าจะเป็นผู้ล่า หรือจะเป็นผู้ถูกล่า ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้เลือก”

ฉันยกมือขึ้นลูบแก้มอีกฝ่ายด้วยหลังมืออย่างอ่อนโยน

…เพราะโลกใบนี้เป็นเช่นนี้… มันไม่มีเวลาให้มัวนั่งรอฟ้าฝน กล่าวโทษสิ่งใด มีเพียงการก้าวไปข้างหน้า ผู้ที่เข้มแข็งกว่าจะอยู่รอด… ฉันเองก็เชื่อเช่นนั้น

……………………………………………….

ทันทีที่ฉันกับลีโอลงจากรถ ลมเย็นเยียบพัดกรรโชกแรงจนเราทั้งคู่แทบจะถูกลมหอบปลิวล้ม ฉันเกร็งมือกุมกระชับเสื้อโค้ทหนาตัวยาวซึ่งยามนี้แทบไม่ช่วยให้ร่างกายรู้สึกอบอุ่นขึ้นสักนิด เหลือบตามองร่างผอมบางที่มาด้วยกันก็นึกสงสารขึ้นมา กำลังนึกจะเปิดเสื้อโค้ทให้อีกคนได้เข้ามาหลบลมหนาวด้วยกัน แต่ก็ยั้งใจไว้

…อะไรก็ตามที่ไม่ได้ฆ่าคุณ มันทำให้คุณเข้มแข็งและแกร่งขึ้น…

มันเป็นคำพูดซึ่งใครบางคนเคยกล่าวไว้… และความหนาวเย็นในเวลานี้ก็เป็นหนึ่งในบททดสอบของลีโอเช่นกัน สองเท้าของฉันเดินนำ พาเด็กสาวตัวผอมเดินย่ำเข้าไปใกล้จุดนัดพบกับลุงจอห์นสัน ทั้งที่ลืมตาแทบไม่ขึ้นแต่ฉันก็จดจำเงาร่างของอีกฝ่ายได้แม่นยำ

ลุงจอห์นสันยืนสูบไปป์อยู่กับชายมีอายุอีกสองสามคน เมื่อทางนั้นเห็นพวกเราก็หยุดการสนทนาหันมามองเงียบๆ ไม่มีการเอ่ยทักทายหรือพูดคุยเกินความจำเป็น ทันทีที่ฉันกับลีโอเข้าไปสมทบ เราทั้งห้าคนก็มุ่งหน้าตรงไปยังเรือสินค้าซึ่งจอดเทียบท่าอยู่ใกล้ๆ

เรือสินค้าลำนี้ภายนอกดูไม่ต่างจากลำอื่นๆแต่อย่างใด ที่ต่างคือบรรยากาศโดยรอบในยามนี้ต่างหาก ความเงียบจนวังเวง และแสงไฟโดยรอบที่ถูกเปิดใช้เพียงบางส่วนเท่านั้น

.

.

.

“… สินค้า?” ฉันเอ่ยถามสั้นๆ พยายามไม่ให้เสียงพูดสั่นจนจับใจความไม่ได้ แม้จะเข้ามาในตัวเรือแล้วแต่ร่างกายซึ่งผจญลมหนาวจนแทบแข็งก็ยังคงเคลื่อนไหวไม่ได้ดั่งใจนัก

“อยู่ใต้ท้องเรือ… อีกสองคันรถกำลังมา” ลุงจอห์นสันตอบ

ฉันพยักหน้ารับรู้สาวเท้ายาวๆลงไปด้านล่างเป้าหมายคือห้องใต้ท้องเรือ

ยิ่งเข้าใกล้เสียงร้องไห้โยเยก็ยิ่งดังลอดออกมาชัดขึ้นเรื่อยๆ ฉันก้มตัวมองลงไปยังฝาประตูห้องที่ดูคล้ายประตูห้องใต้ดินซึ่งอยู่ที่พื้น ในห้องแออัดเบียดเสียดไปด้วยสิ่งมีชีวิตเล็กๆซึ่งไร้ทางสู้ แต่ละคนสะอื้นไห้ด้วยทนหิวและทนหนาวมาหลายวันแล้ว ซ้ำยังต้องพยายามหาพื้นที่ที่พอจะมีอากาศหายใจอีก

ฉันมองผ่านๆไปรอบๆ คาดคะเนจำนวนสินค้าซึ่งกำลังตามมาอีกระลอก สินค้าเหล่านั้นจะถูกจับมาโยนอัดลงไปในห้องอันแออัดนี้ แน่นอนว่าพวกเขาต้องการเพียงพื้นที่ให้ยัดร่างกายของตัวเองเข้าไปให้ได้เท่านั้น เมื่อห้องใต้ท้องเรือนี้ถูกปล่อยน้ำเข้าไปจนเต็ม พวกเขาก็ไม่ต้องการความสะดวกสบายอันใดอีก ไม่ต้องการแม้แต่อากาศจะหายใจด้วยซ้ำ

ฉันปรายตามองไปทางลีโอ ภายใต้ใบหน้าซึ่งยังคงเรียบนิ่งและความเงียบงันนั้น ทำให้ตนประเมินสภาพจิตใจของอีกฝ่ายลำบาก ไม่แน่ใจว่าเด็กสาวซึ่งยืนอยู่ข้างๆตน เข้าใจแค่ไหนกับสิ่งซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นกับร่างเล็กๆเรียงรายตรงหน้า ที่ถูกเรียกและมองเป็นเพียงสินค้า

คนของท่าเรือซึ่งรับสินบนจากพวกตนชะโงกเข้ามาแจ้งการมาถึงของสินค้าล็อตสุดท้ายซึ่งจะถูกนำไปกำจัด ฉันพยักหน้า แล้วพาลีโอหลบไปยืนให้พ้นเส้นทางลำเลียง ไม่ช้าเด็กหนุ่มสาวอายุพอๆกับบ็อบแต่ถูกมัดมือไพล่หลังผูกติดกันมาเป็นแถวก็ถูกคุมตัวนำเข้ามา แต่ละคนถูกปิดตาและพาเดินกึ่งลากตรงมาที่ห้อง ประตูที่พื้นถูกเปิดรออยู่ แล้วทันทีที่หนึ่งคนก้าวร่วงลงไป คนท้ายๆก็ถูกกระชากล้มและดึงร่วงตามลงไปในห้องข้างใต้ เสียงหวีดร้องระงมจนฟังไม่ได้ศัพท์ ก่อนร่างเด็กซึ่งอยู่ปลายเชือกท้ายขบวนจะถูกจับโยนตามคนอื่นๆลงไป

“สินค้าครบนะ?”

“ครบครับคุณเชน” ลุงจอห์นสันมองเอกสารในมือซึ่งถูกขีดฆ่านับจำนวนตรงตามแผนแล้วยิ้มให้อย่างทุกที แต่เป็นรอยยิ้มซึ่งทำให้ฉันรู้สึกเย็นเยียบกว่าลมหนาวด้านนอกเมื่อขามาเสียอีก

“ถ้างั้นฝากจัดการต่อด้วย วันนี้ฉันต้องวิ่งงานอยู่สักหน่อยคงไม่อยู่รอเรือออก” ฉันพยักหน้าพอใจกับการทำงานเรียบร้อยตามแผนงานของคนเก่าแก่ของลูซรอค ตบบ่าลุงเบาๆอย่างคุ้นเคยกันก่อนจะบ่ายหน้ากลับไปทีรถ

ขากลับไม่รู้ว่าลมหนาวหรือเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ทำให้ร่างของฉันและลีโอสั่นสะท้านจนแทบก้าวขาไม่ออก ฉันมองใบหน้าซีดขาวของลีโอ ไม่รู้ว่าตนเองควรพูดอะไรกับอีกฝ่ายดี สุดท้ายก็ตัดสินใจให้ความเงียบที่โรยตัวอยู่รอบๆ โอบกอดเราทั้งคู่เอาไว้

ฉันถอดถุงมือออกแล้วกุมมือลีโอแน่น พาเดินต้านลมหนาวจากเรือสินค้ากลับไปยังรถซึ่งจอดรออยู่ เพื่อให้มั่นใจว่า เมื่อไหร่ที่ใครคนนึงหกล้ม อีกคนจะฉุดรั้งให้ผู้ที่ล้มลงได้ลุกขึ้นยืนและก้าวข้ามเรื่องราวต่างๆไปข้างหน้าได้อีกครั้ง

……………………………………………….

…กลิ่นดินปืนผสมกับกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนแทบอยากจะหยุดหายใจ

…เวียนหัว…

ความรู้สึกอยากอาเจียนทำให้ลำคอตีบตันจนพูดอะไรไม่ออก เสียงร้องไห้ปะปนกับเสียงหวีดร้องทำให้ฉันสะดุ้งตื่นขึ้น และพบว่าตนกำลังนั่งหลับอยู่ในรถของคุณท่านซึ่งคนขับรถกำลังขับพาฉันและลีโอไปยังบาร์ของครอบครัวแอนเดอร์สัน โดยมีลีโอนั่งเงียบมองมายังตน ฉันฝืนยิ้มจางๆให้เพื่อนร่วมห้องโดยสาร ไม่รู้สึกตัวเลยว่าเผลอหลับไปตอนไหน บางทีร่างกายคงกำลังประท้วงถึงการใช้งานอย่างบ้าระห่ำของฉันในช่วงนี้ก็เป็นได้

“เสร็จงานคงต้องขอพักยาวๆสักวัน”

ฉันเปรยทีเล่นทีจริง เด็กสาวซึ่งนั่งข้างๆก็ยิ้มตอบ ชวนให้ฉันนึกในใจว่าเด็กสาวคนนี้จิตใจเข้มแข็งดี มองในมุมของคนที่ผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่มาด้วยกัน ดูท่าทางอีกฝ่ายจะรับมือได้ดีกว่าที่ตนคาดคิดไว้มากนัก

เบนสายตาออกมองไปมองวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างอันคุ้นเคย… รู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะกลับไปที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง มันทำให้หัวใจซึ่งตนคิดว่าด้านชาไปนานแล้วกลับมาไหววูบไม่ต่างจากเมื่อก่อน แม้ว่าที่ผ่านมาตนจะไม่เคยนึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปก็ตาม

ถนนสายนี้นำพาเชลลี่กับฉันเข้ามายังชิคาโก้… จุดแรกที่พวกเราลงจากรถขนสินค้าซึ่งโบกรถขอโดยสารมาจากซิเซโร่คือหัวมุมถนนตรงที่มีเสาไฟฟ้าส่องแสงสว่างเจิดจ้านำทาง ฉันเหลือบมองเสาต้นนั้นซึ่งยังตั้งเด่นเป็นสง่าไม่แตกต่างจากวันนั้น

.

.

.

หวนคิดย้อนไป… หิมะหนาและอากาศเย็นซึ่งเคยเป็นเรื่องรื่นเริงสำหรับตนกลับกลายเป็นความโหดร้ายในวันที่เชลลี่และฉันไม่มีเสื้อผ้าหนาๆห่อหุ้มร่างกาย เราทั้งคู่เดินกอดกันไปตามถนนหวังเพียงหาที่ซุกหลบลมหนาว เนื้อตัวมอมแมมส่งกลิ่นแย่ๆพาให้พวกเราถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าร้านจากร้านค้าต่างๆนับไม่ถ้วน ไม่ช้าเราก็ได้เรียนรู้ว่าสถานที่สำหรับพวกเราคือที่ไหน…

ร้านรวงคึกคักเรียงรายก้าวพ้นมาด้านหลัง กลับกลายเป็นตรอกมืดหลืบตึก อันเต็มไปด้วยซากร่างของสิ่งมีชีวิตอีกจำพวกหนึ่ง… เหล่าผู้ซึ่งพ่ายแพ้จากการต่อสู้ในเกมประหัตประหารที่เรียกว่า ‘ชีวิต’

แม้แต่ในตรอกหลืบการแก่งแย่งพื้นที่ครอบครองก็ยังไม่ละเว้น สัตว์เล็กเป็นเหยื่อของสัตว์ใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน ตัวที่เล็กกว่าไม่วายถูกตัวที่ใหญ่กว่าแย่งชิง

ถุงเงินที่ฉันกับเชลลี่พกติดตัวมาถูกขโมยไปตั้งแต่วันแรกๆที่มาถึงชิคาโก้ เราแทบไม่ได้หลับนอนกันเลย เพราะถูกไล่ที่จากคนจรจัดที่อาศัยอยู่ในตรอกหรือเพิงนั้นๆมาก่อน จนฉันกับเชลลี่ได้มาเจอกองขยะในตรอกแห่งหนึ่ง เศษอาหารส่งกลิ่นเน่าเหม็นคลุ้งทำให้ตรอกนั้นยังคงไม่มีผู้ใดจับจองตั้งตัวเป็นเจ้าที่ ลังกระดาษบรรจุของที่ไม่ใช้แล้วถูกมัดกองรวมๆกันอยู่ใกล้ๆ

ฉันจัดการกับขวดแก้วใบหนึ่งจนแตก ใช้เศษแก้วที่มีความคมเถือเชือกที่รัดกระดาษลังเตรียมทิ้งเหล่านั้นออก คืนนั้นเชลลี่และฉันได้อาศัยลังกระดาษเหล่านั้นเป็นบ้านและที่ซุกหัวนอน พวกเราหลับใหลลงอย่างง่ายดาย แม้แต่กลิ่นขยะเน่าเหม็นที่ว่าร้ายๆก็ไม่สามารถมาห้ามเปลือกตาอันหนักอึ้งของพวกเราได้

.

.

.

ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยความหิว ไม่แน่ใจว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไหร่ ฉันมองไปรอบตัวก่อนจะตกใจกระโดดลุกขึ้นเมื่อพบว่าเชลลี่ไม่ได้อยู่ที่นั่น ฉันวิ่งตามหาไปทั่วราวกับคนบ้า กระทั่งเห็นเธอยืนอยู่บนลังไม้ด้านหลังของร้านเล็กๆแห่งหนึ่ง เชลลี่กำลังชะโงกมองเข้าไปในร้านผ่านช่องระบายอากาศเล็กๆ

“เชลลี่…” ฉันส่งเสียงเรียกเธอเบาๆ แต่นั่นก็ไม่วายทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งจนเกือบพลัดตกจากลังที่วางซ้อนกันสูง

“อ้ะ! เชน…ตื่นแล้วเหรอ? หิวรึเปล่า?”

พี่สาวฝาแฝดของฉันปีนลงจากลังก่อนจะยิ้มร่ามองมา เธอล้วงเอาขนมปังก้อนใหญ่ยื่นส่งให้

“กินสิ ฉันกินไปก้อนนึงแล้ว”

“ไปเอาขนมปังมาจากไหน…แล้ว…ทำอะไรอยู่น่ะ”

ฉันรับขนมปังมาฉีกแบ่งครึ่งแล้วเก็บอีกครึ่งหนึ่งใส่กระเป๋าย่าม ตุนไว้เผื่อกินต่อวันหลัง และเริ่มกัดกินครึ่งที่ถือไว้ไปด้วย

“ฟังเพลง… คุณลุงคนนั้นเป่าไอ้เครื่องบ้านั่นเก่งสุดๆไปเลย มาดูสิ!”

เชลลี่เลือกตอบแค่คำถามที่เธอสนใจจะตอบเช่นทุกที จากนั้นก็กระวีกระวาดจัดการออกแบบวิธีวางซ้อนลังไม้ว่างๆแถวนั้นใหม่เพื่อให้เราทั้งคู่สามารถปีนขึ้นไปแอบดูด้วยกันได้

ภาพเบื้องหน้าเป็นโลกอีกโลกที่ฉันไม่เคยพบเห็น เสียงหัวเราะรื่นเริง เสียงดนตรีและภาพผู้คนในชุดสวยๆเต้นรำกันไปมาเหมือนในหนังสือนิทานที่แม่เคยอ่านให้พวกเราฟังตอนเด็กๆ

ฉันหันไปมองเชลลี่ แสงไฟที่สะท้อนระยับในดวงตาของเธอพร่างพราวราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าในคืนเดือนมืด

“ว้าววววววว” เสียงครางเบาๆของเชลลี่ดังขึ้นอย่างตื่นตาตื่นใจ ฉันหันกลับไปในร้านมองตามสายตาของเธอไป พบภาพของนักร้องสาวในสุดเดรสยาวระยิบระยับบนเวที เสียงปรบมือและเป่าปากต้อนรับดังเปี๊ยวป๊าวไม่ขาดสาย ทันทีที่โน้ตตัวแรกดังขึ้นทั้งร้านก็ตกอยู่ในความสงบ มีเพลงเสียงร้องขับกล่อมคลอไปกับเสียงดนตรีล่องลอยอยู่ในบรรยากาศราวกับมนต์สะกด

ฉันไม่รู้เลยว่าสิ่งไหนเกิดขึ้นก่อนกัน ระหว่างความฝันของเชลลี่ที่จะได้ขึ้นไปยืนร้องเพลงบนเวทีในชุดสวย ท่ามกลางสายตาซึ่งมองมาอย่างชื่นชม มีผู้คนมากมายรายล้อมตะโกนเรียกชื่อของเธอ หรือความฝันอันเรียบง่ายและไม่มีอะไรเลยของฉัน นั่นคือการได้เห็นรอยยิ้มของเธอจากมุมใดมุมหนึ่งของเวทีตลอดไป…เท่านั้น…ขอแค่เท่านั้น…

…ฉันในตอนนั้น ไม่รู้เลยว่าราคาที่ต้องจ่ายเพื่อแลกมาซึ่งความฝันนั้นคืออะไร…

.

.

.

เชลลี่กับฉันลงมติเอกฉันท์ว่าพวกเราจะขยับมาอาศัยนอนแถบหลังบาร์แห่งนี้แทน เราทั้งคู่มีความสุขมากขึ้นท่ามกลางเสียงดนตรีอันรื่นเริงที่ได้ยินแว่วมาตามหน้าต่างร้าน แม้ว่าบ่อยครั้งที่เราอาจได้ยินเสียงปืน เสียงกรีดร้อง และเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวดดังแทรกขัดท่วงทำนองแว่วหวาน ก่อนเลือนหายไปในอากาศ ราวกับเสียงกระซิบของภูติผีร้ายที่ไม่ยอมปรากฏตัวให้เห็นที่มาเป็นครั้งคราวก็ตามที…

…คงเพราะพระเจ้าตรองแล้ว จึงสร้างสิ่งต่างๆให้เกิดมาคู่กัน… มีดำก็มีขาว มีมืดย่อมมีสว่าง และยิ่งด้านหนึ่งต้องแสงสว่างเจิดจ้าเท่าไหร่ ด้านตรงข้ามก็ยิ่งเกิดเป็นเงาดำอันมืดมิดอันธกาลยิ่งขึ้นเท่านั้น…

เชลลี่กับฉัน เราต่างก็ไม่พ้นกฎแห่งความจริงของพระเจ้าข้อนี้ เฉกเช่นเดียวกัน … เพราะว่าเข้าใจ ฉันถึงได้ยอมดำดิ่งทั้งชีวิตและจิตวิญญาณลงไป เพียงเพื่อให้โลกของเธอได้ไต่ขึ้นไปอยู่จุดที่สูงที่สุด พบแต่ความสว่างสดใส มีแต่ความสุข… ขอแค่ได้รู้ว่าต้องทำอะไร…

.

.

.

นอกจากได้ฟังแจ๊ซและชมการแสดงทุกคืนแล้ว ข้อดีของการได้อาศัยอยู่ในตรอกหลังบาร์แห่งนี้อีกอย่างก็คือ…อาหาร… ภรรยาเจ้าของบาร์เป็นหญิงรูปร่างท้วมอุ้ยอ้ายแต่ใจดีมาก เธอมักจะลอบเอาอาหารที่เหลือๆ หรือบางครั้งก็แค่อาหารที่เธอทำผิดออร์เดอร์ออกมาแจกจ่ายเด็กๆที่อาศัยในตรอกนี้เป็นประจำ ขอเพียงพวกเราระวังไม่ส่งเสียงดังจนลุงเจ้าของร้านออกมาไล่ตะเพิดไปเท่านั้น ทั้งเชลลี่และฉันก็ไม่ต้องทนหิวโหยอีกต่อไป

.

.

.

……………………………………………….

เสียงยางเบียดถนนตอนตีโค้งและเสียงดับเครื่องยนต์ฉุดฉันให้กลับมาสู่สิ่งที่ต้องทำในค่ำคืนนี้อีกครั้ง เบื้องหน้าคือบาร์ของ โอลิเวียร์ และมาร์คอฟ ซึ่งคุณท่านให้ทอมติดต่อขอซื้อ… และแน่นอนว่าไม่ว่าด้วยวิธีใด ลูซรอคจะต้องได้มันมา… ฉันสาวเท้าก้าวยาวๆเข้าไปในบาร์ตามองหาคนของตนซึ่งน่าจะมาถึงกันก่อนแล้ว

.

.

.

เสียงตะโกนขับไล่พวกมาเฟียดังขรมไปทั้งร้านแล้วในตอนที่ฉันไปถึง เหล่าคนงานในร้านจับกลุ่มรวมตัวกันล้อมคนของลูซรอคไว้หมด แต่ละคนผลัดกันตะโกนคนนั้นที คนนี้ที

“พวกเรากำลังทำมาหากินอยู่นะ!”

“สงสารคนจนบ้างสิ”

“ใช่! ทำไมต้องมาบังคับกันด้วย!”

ฉันเดินไปหยุดยืนอยู่ด้านข้างของทอม ดูจากสถานการณ์ ตาลุงจอมวางท่านั่นคงไม่ยอมปล่อยมือจากร้านง่ายๆ… ซึ่งนั่นก็ไม่ได้เหนือความคาดเดาของฉันเลย

“ที่มองหากันอยู่ก็คือโอกาสไม่ใช่เหรอ? นี่ไงล่ะโอกาส รับไปซะ! ก่อนที่จะไม่เหลือความเห็นใจใดๆจากลูซรอค”

ฉันพูดขึ้นเรียบๆแต่น้ำเสียงไว้อำนาจทั้งที่จำนวนคนในร้านสนับสนุนอีกฝ่ายเกินครึ่ง

 

“อย่าคิดว่าเอาตังค์มาฟาดซื้อร้านก็จบนะ!”

“ใช่!”

“ใช่!!”

“เมื่อร้านนี้เป็นของพวกเรา เราจะดูแลอย่างสุดความสามารถนั่นแหละ กลับไปซะ!”

มาร์คอฟลุงเจ้าของร้านตะคอกกลับมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ ภาพชายร่างใหญ่ตรงหน้าช่างคุ้นตาและซ้อนทับกับคนในความทรงจำของตน

…คนบางคนก็ไม่เคยเปลี่ยน…

“บอสคะ เงินขาดอีกเท่าไหร่พวกเราจะช่วยกันหาเงินมาจ่ายเอง!”

นักร้องสาวใหญ่หยิบธนบัตรที่เจ้าหล่อนได้ทิปออกมาปาลงบนโต๊ะ แม้ว่าจะมันไม่พอค่าดอกเบี้ย ของก้อนหนี้ที่ค้างอยู่ด้วยซ้ำ แต่ก็เรียกเสียงเฮ และโห่ไล่พวกลูซรอคจากคนอื่นๆได้พอดู

ฉันจุดบุหรี่ขึ้นสูบ ปล่อยให้เหตุการณ์ยั่วยุของอีกฝ่ายดำเนินไปราวกับกำลังนั่งดูบทละครซึ่งถูกวางไว้แล้ว และแทบไม่สะดุ้งสะเทือนกับเสียงโห่ร้องของคนในนั้นแต่อย่างใด

ฉวยจังหวะที่ทางนั้นไม่ทันตั้งตัว พริบตาเดียวมือเรียวก็คว้ากระชากคอเสื้อมาร์คอฟซึ่งยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของเคาน์เตอร์บาร์ให้เข้ามาใกล้ โน้มหน้าไปหาก่อนพ่นควันใส่ใบหน้าแดงก่ำนั่น ก่อนกระซิบ

“แน่ใจนะว่าแกอยากจะดูแลร้านนี้ และชีวิตแกกับเมีย… รวมทั้งชีวิตลูกน้องพวกนี้ และลูกค้าทุกคน… แกรับผิดชอบไหวงั้นเหรอ? ห๊ะ!”

ท้ายประโยคตนตะคอกใส่หูเรียกสำนึกรับผิดชอบจากคนตัวโตกว่าอย่างไม่กลัวเลยสักนิด

…ใช่… คนๆหนึ่งกับองค์กรทั้งแก๊งค์… คำพูดสวยหรูอันพร่างพรู และศักดิ์ศรีที่ค้ำคออยู่ไร้ค่าทันทีเมื่อผู้พูดเหลือเพียงร่างอันปราศจากลมหายใจ… ต้องใช้ปืนกี่กระบอก ชีวิตผู้คนกี่คน จึงจะพอจ่ายให้กับความดื้อรั้นของคน… และการต่อสู้ที่ไม่มีวันชนะ…

มาร์คอฟอึกอักไปนิด แน่นอนว่าดูท่าแล้วเขาไม่คิดยอม แต่ถ้ามันหมายถึงความปลอดภัยของทุกคนแลกกับบาร์แห่งนี้ละก็ ชายร่างยักษ์ก้มหน้าลง มือกำแน่นอย่างพยายามอดกลั้น

ฉันส่งสายตาให้เรเชลกับทอมเข้าเจรจาผลประโยชน์ต่อด้วยมั่นใจว่าคนตรงหน้าเข้าใจความหมายในสิ่งที่ตนได้พูดไปดี

เรเชลยังคงยืนเหม่อมองมาทางฉันอย่างแปลกใจ คงเพราะเธอไม่เคยเห็นฉันเป็นแบบนี้มาก่อนกระมัง

“ให้ฉันพูดเลยไหมคะ”

เรเชลมองมาเหมือนต้องการคำตอบ ฉันจึงหันไปตบบ่าทนายคนสวยของลูซรอคเบาๆ ก่อนส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“ฝากด้วยนะเรเชล”

รู้ว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปในทางดีขึ้นแล้ว ฉันก็หันตัวหลบให้ทอมกับเรเชลเข้าไปรับช่วงคุยต่อ เหลือเพียงคุมเชิงอยู่ห่างๆ

ทอมถอนหายใจก่อนจะก้าวออกไปบอกเงื่อนไขให้มาร์คอฟ

“คืออย่างนี้นะมาร์คอฟ บาร์เนี่ยยกให้ทางพวกฉัน ส่วนดอกเบี้ยที่ติดไว้ ถือซะว่าเป็นของขวัญจากลูซรอคให้ไปตั้งตัวใหม่” ทอมจิ้มนิ้วที่ใส่ถุงมือลงบนบ่าอีกคนอย่างหนักแน่นก่อนจะยกยิ้มมุมปาก “อธิบายง่ายๆแบบนี้ คงเข้าใจนะ”

มาร์คอฟยังคงเงียบนิ่งเม้มริมฝีปากแน่นมากขึ้นไปอีกคล้ายพยายามข่มอารมณ์และคำพูดของตนไว้ แต่ก็นั่นแหละ ร้านที่สร้างมากับมือ ความทรงจำของพ่อซึ่งเป็นนักดนตรีแซกโซโฟนให้ที่นี่มาช้านาน เงินดอกเบี้ยที่ติดเอาไว้ไม่สามารถซื้อสิ่งเหล่านี้ได้

“ใครจะไปเข้าใจวะ… แค่ดอกเบี้ยกับเงินแค่นั้นมันจะไปพออะไร” แม้จะไม่ได้พูดก้าวร้าวรุนแรงแต่น้ำเสียงก็บ่งบอกถึงความไม่พอใจได้มากพอสมควร ถ้าเป็นคนอื่นอาจเข้าใจว่ามาร์คอฟต้องการเรียกร้องเงินมากขึ้น แต่สำหรับฉัน… ฉันเข้าใจ… คำพูดซึ่งผู้ทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวและเจ้าของร้านไม่ได้พูดออกมา

…เงินแค่นี้มันจะไปพออะไร…ที่จะมาซื้อความฝันและความสุขของทุกชีวิตในร้านนี้ต่างหาก…

ทอมพ่นลมหายใจเบาๆ ทำท่าทีเหมือนเหนื่อยหน่ายใจ

“นกหนึ่งตัวในกำมือย่อมมีค่ามากกว่านกสองตัวในพุ่มไม้ ถ้าแกไม่พอใจในสิ่งที่แกมีตอนนี้ สุดท้ายแกจะไม่ได้อะไรสักอย่าง”

ทนายสาวซึ่งยืนเงียบมองสถานการณ์อยู่นานก็ออกไปผสมโรงกะทอมบ้าง คงอยากให้ภารกิจเสร็จสิ้นเสียที

“นี่นาย อย่างน้อยก็ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้ ก็ดีกว่าโดนยึดไปแล้วยังต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มอีกไม่ใช่หรือไง? หรือมีปัญญาจ่าย?” เสียงเรียบพูดไปเรื่อยๆ แม้ไม่ได้เจือด้วยท่าทีข่มขู่ แต่ก็กำลังต้อนอีกคนให้จนมุมมากขึ้นเรื่อยๆ

“อย่ายึกยักมาก ท้ายที่สุดแล้วจากเหลือศูนย์จะกลายเป็นติดลบนะคุณ!…”  หญิงสาวมองนิ่งใส่เหยื่อผู้โชคร้าย “เอ้าเซ็นต์ๆ ซะเถอะ”

หนังสือสัญญาถูกเสือกส่งไปตรงหน้าชายร่างยักษ์พร้อมปากกา

“ฉันขอเวลาเพิ่ม…” มาร์คอฟเอ่ยเสียงอ่อนลง

“นายจะขอทำมะเขืออะไรอีกล่ะ” เรเชลขมวดคิ้วยุ่งๆ นิดหน่อย

“นายได้เวลาเพิ่ม นายทำเงินได้เพิ่มอะจริง แต่ดอกเบี้ยก็เพิ่มขึ้นตามไหม จะอยู่อีกสิบปี นายก็หาเงินมามากพอจะใช้ดอกเบี้ยไม่ได้หรอกนะ ออกไปใช้ชีวิตสิบปีที่อื่นเถอะ อยู่แถวๆ นี้ระวังจะอยู่ไม่ถึงอีกสิบปีเอานะ”

ปากกาถูกยัดใส่มือมาร์คอฟ เหมือนจะบอกให้เซ็นต์ๆ ให้เสร็จซักที

“พวกแกมันปีศาจ!”  ความอดกลั้นถึงขีดสุดพาเอาลุงลุกขึ้นมาชี้หน้าด่ากราด เจาะจงมาที่ฉันซึ่งเป็นคนออกโรงข่มขู่คนแรก

ฉันเพียงค้อมศีรษะให้นิดคล้ายรับคำชม “รู้แล้วก็ทำสัญญากับปีศาจซะทีสิ ทางรอดแกก็มีแต่ทางนี้ไม่ใช่รึไง?” ฉันตอบกลับด้วยเสียงเอือมๆ เหมือนเจอพวกที่เข้าใจอะไรยาก

“นังสารเลว” ลุงเจ้าของยังคงพ่นคำด่าออกมาไม่หยุดจนแทบไม่รู้จะด่าอะไรต่อไปอีก มันเป็นเพียงการดิ้นรนครั้งสุดท้ายซึ่งฉันไม่คิดจะเก็บมาเปลืองแรงต่ออีก

“หุบปากน่า…มันหนวกหูนะรู้ไหม!” เรเชลตะโกนกลับ

…นี่ตะหากที่ฉันกำลังสนใจ… ไม่คิดว่าคุณทนายสาวสวยผู้เงียบขรึมบทจะบู๊ก็สู้คนเอาเรื่องแฮะ

“นี่สรุปว่าอยากโดนเป่าสมองไหลก่อนจริงๆ ใช่ไหม เริ่มขี้เกียจจะอธิบายเกลี้ยกล่อมแล้ว อ้อแล้วไม่ต้องบอกว่าฆ่าคนตายแล้วจะไปเรียกตำรวจนะ พวกมาเฟียฆ่าตายไปเป็นแสนแล้ว ยังลอยนวลมายึดผับแกได้เลย…เซ็น!”

เสียงตะโกนหนักท้ายประโยคกดดันให้คนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหนังสือสัญญาบีบปากกาในมือแน่นจนมือสั่น ใบหน้าแดงจัดด้วยความโกรธอันไม่สามารถระบายออกได้

ป้าโอลิเวียซึ่งเอาแต่นั่งร้องไห้กระซิกๆอยู่อีกฝั่งเดินมากอดมาร์คอฟไว้จากด้านหลัง ซุกหน้าร้องไห้จนไหล่ไหวขึ้นลงบนแผ่นหลังผู้เป็นสามี มือที่หยาบกร้านเพราะกรำงานมาโชกโชนลูบลงบนบ่า ที่ครั้งหนึ่งเคยแบกภาระของทุกคนไว้อย่างอดทนเบาๆเพื่อปลอบโยน อย่างน้อยขอแค่มีกันและกัน พวกเขาจะต้องเริ่มใหม่ได้อีกครั้ง

มาร์คอฟจับปากกาขยับเร็วๆก่อนปล่อยปากกาทิ้งไว้บนโต๊ะ ยกมือขึ้นลูบหน้า แล้วหันกลับไปกอดป้าไว้ เสียงแหบต่ำถามเป็นคำถามสุดท้าย “พวกเรามีเวลาย้ายออกนานแค่ไหน?”

“นี่ได้อ่านสัญญาไหมห๊ะ” เรเชลสวมบทนางร้ายตวาดแหวใส่ พร้อมชี้ให้ดูคำว่า ‘ภายใน 15 วัน’ ในเอกสารแม้จะถูกเขียนด้วยตัวหนังสือขนาดเล็กมากก็ตาม “สิบห้าวันไงคะ”

ลุงเจ้าของพยักหน้านิดทั้งที่หันหลังให้อยู่ “หมดธุระแล้วพวกแกก็กลับไปได้ละ!”

ฉันซึ่งเดินไปลากเก้าอี้มานั่งสูบบุหรี่พ่นควันเล่น มองบรรยากาศกดดันจากทีมกฎหมายของตนอยู่ห่างๆอย่างไม่ทุกข์ร้อน ตั้งแต่ฝากฝังให้เรเชลกับทอมจัดการ เพราะตนเชื่อมั่นในตัวคนทั้งคู่ คนเหล่านี้ไม่พลาดกับเรื่องง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเป็นแค่ชาวเมืองธรรมดาๆ รอจนภารกิจเสร็จสิ้นค่อยลุกขึ้น

“แกเลือกได้ฉลาดแล้ว…วันหน้าแกจะดีใจที่เลือกเป็นมิตรกับพวกเรา”

พูดจบฉันก็เพยิดหน้าให้สัญญาณทุกคนในทีมซึ่งเสร็จงานแล้วให้ออกจากร้านได้ ตนเองยืนรั้งเป็นคนสุดท้าย รอจนทุกคนออกไปนอกร้าน ก็วางนามบัตรแผ่นเล็กๆลงบนเคาน์เตอร์ มันเป็นนามบัตรของบาร์แห่งหนึ่งในเขตชานเมืองชิคาโก้ซึ่งเจ้าของกำลังประกาศขายร้านอยู่ บนนามบัตรเป็นเข็มกลัดเก่าๆรูปแซกโซโฟนที่ครั้งหนึ่งคุณลุงท่าทางใจดีซึ่งเคยเป่าแซกโซโฟนอยู่ในร้านเคยมอบให้ฉันกับเชลลี่ตอนเด็กๆในช่วงวันคริสต์มาส…

…บอกไปใครจะเชื่อ…ว่าคุณลุงใจดีที่เป่าแซกโซโฟนได้เทพขนาดนั้น จะเป็นพ่อของตาลุงขี้โมโหวันๆทำหน้าแดงก่ำคนนี้…

…ความลับอีกอย่างที่ฉันเพิ่งมานึกออกตอนนั่งรถมาที่ร้าน… ลุงมาร์คอฟน่ะ… ออกมาไล่พวกเด็กๆที่มารอรับอาหารหลังร้านจากป้าโอลิเวียร์หลังจากป้าแกแจกอาหารเสร็จแล้วทุกครั้งเลยสิน้า…

ฉันไม่ได้พูดอะไรอีกมุมปากยกขึ้นนิด เป็นรอยยิ้มขื่นๆ ก่อนเดินตามทุกคนออกไป…หลังเสร็จสิ้นภารกิจ…

……………………………………………….

== Side Story ==

…15 วัน ให้หลัง…

รถยนต์คันงามพาร่างหญิงสาวในชุดสูทจนดูราวกับเด็กหนุ่มคนเดิมมาจอดยังฝั่งตรงข้ามของบาร์ โอลิเวียร์ แอนด์ มาร์คอฟ ซึ่งกำลังจะถูกเปลี่ยนเป็นชื่อ มูนดัสต์ ในความดูแลของลูซรอค

หญิงสาวไม่ได้ลงจากรถ หล่อนแค่เพียงนั่งมองคนในร้านช่วยกันทยอยยกกล่องใส่ของขึ้นรถบรรทุกซึ่งถูกจ้างมาสำหรับขนย้าย

ข่าวการซื้อขายบาร์ย่านชานเมืองตามนามบัตรเป็นไปด้วยดี ด้วยเงินค่าบาร์ที่เคยเช่าซื้อมาหลายปี บวกกับเงินตั้งตัวที่ลูซรอคมอบให้ เพียงพอจะขอซื้อต่อบาร์เล็กๆซึ่งเจ้าของกำลังต้องการขายด่วนในย่านชานเมืองได้ตามที่ควีนแห่งลูซรอคคำนวนไว้

สิ่งที่เหนือการคำนวณของหล่อนกลับเป็นร่างของบิชอป…โธมัส คริสโตเฟอร์ ฮาร์ทแมน ซึ่งกำลังง่วนช่วยยกของจากด้านในร้านขึ้นรถบรรทุกอยู่นั่นตะหาก

รอยยิ้มปรากฏบนเรียวปากอิ่มคู่สวยก่อนเจ้าหล่อนจะตัดสินใจเปิดประตูรถเดินข้ามถนนไปหาบิชอปตัวดีของหล่อนที่อีกฟากถนน

“ทำอะไรอยู่น่ะ ทอม?”

คำถามเรียบนิ่งหากแต่น้ำเสียงกลับไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มของเจ้าของคำถามไว้ได้

.

.

.

……………………………………………….

==TBC.==

……………………………………………….

 

[SH] แนะนำลูกชายคนที่ 2 “Mitsuki Akira” : เจ้าวัวบาร์เทนเดอร์ (ใสๆ)

Talk : Mitsuki Akira

ลูกชายเฉพาะกิจ ที่วางมาเป็น NPC ซับคาร์ให้กับเซนะ ทั้งเพื่อนบาร์เทนเดอร์ และเบ้เฉพาะกิจสำหรับดูแลเต่าบกตัวแสบ โนอาห์ ไปๆมาๆ จับพลัดจับผลู มาเป็นออริ คู่กับ ชิมิสึ อากิโนริ โฮสต์แฝดคนน้องของคอมมู Shigan-Higan Host Club ซะงั้น แต่มาคู่กันก็เป็นสตอรี่หลังจากคลับปิดตัวลงไปพักใหญ่แล้วล่ะนะ ปัจจุบันกลายมาเป็น ออริ-เมนคาร์ ของแม่มันค่ะ ฮ่าๆๆ

…ทั้งที่วางคาร์ไว้ว่าให้เป็นสายวันไนท์…แต่พอเจออากิ หรือเจ้าเต่าตัวแสบ อุราชิม่าของเราก็ติดหล่มไปไหนไม่รอด ทุกวันนี้ท่องแต่คาถาบูชาเมียไปค่ะ แต่ก็เหมาะกับคาร์ใสๆแบบเขาดีนะ… (^-^ ‘) 

Mitsuki Akira

—————————

| Profile |

—————————

Akira

ชื่อ-นามสกุล : มิตซึกิ อากิระ

อายุ : 24 (ตอนเจออากิครั้งแรก ปัจจุบัน 26 แล้วค่ะ)

วันเกิด : 14 กันยายน 1989

กรุ๊ปเลือด : AB

เพศ : ชาย

สัญชาติ : ญี่ปุ่น

เชื้อชาติ : ญี่ปุ่น

ส่วนสูง/น้ำหนัก : 186 / 70

สีผม/สีตา : ดำ / เทาเข้ม

ประวัติ :

  • เป็นลูกชายคนที่ 4 มีพี่ชาย 3 คน โทยะ (35) อาคาสะ(32)  เทมมะ(28) น้องชายลูกหลง 1 คน รุกะ(7)
  • ที่บ้านเป็นพวกตระกูลเก่าแก่ค่อนข้างจะหัวเก่า เป็นตระกูลใหญ่ญาติเยอะมาก จนอากิระจำไม่ไหวเลยล่ะ อาชีพหลักของตระกูลคือค้าของเก่าและโบราณวัตถุต่างๆ
  • อากิระเรียนไม่เก่ง (ความจำและสายตามีปัญหา เนื่องจากสมัยเด็กๆเคยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ทำให้ประสาทตาด้านซ้ายไม่สมบูรณ์ทำให้มองเห็นไม่ชัด ตาอีกข้างเลยต้องทำงานแทน ทำให้อ่านหนังสือนานๆไม่ได้ แต่ตาเบลอได้ง่าย ทำให้ชอบใช้ประสาทสัมผัสอื่นๆโดยเฉพาะการสัมผัสโดยตรง เน้นทำงานพวกเสียง และสัมผัส อย่างกลอง..ที่ไม่ต้องดูโน๊ตเท่าไหร่
  • สมัยอยู่ ม.ปลาย รับงานถ่ายแบบ ก็เลยเรียนไม่ทัน พ่อแม่จ้างครูมาติวให้พิเศษ ดันรักกับครู ชื่อ อิจิโนเสะ ยูทากะ (อายุ 27 – อากิระ18 ห่างกัน 9 ปี)
  • อากิระรักยูมาก แต่พอเรื่องแดง ที่บ้านซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ก็บังคับให้เลิก ขู่กับอากิระว่าถ้าไม่ยอมเลิกก็จะแจ้งความจับยูทากะ ข้อหาพรากผู้เยาว์ อากิระเลยยอมทางบ้านไปบอกเลิกกับยู จากการบอกเลิกครั้งนั้นยูพยายามฆ่าตัวตาย
  • เหตุการณ์ร้ายๆก็กระหน่ำเข้ามา …เรื่องแดง…ชีวิตยู ย่อยยับมาก ในขณะที่ทางบ้านของอากิระ และต้นสังกัดสั่งปิดข่าว จนแทบไม่มีใครรู้ว่าเด็กม.ปลายที่เป็นคดีเสื่อมเสียกับยูคืออากิระ
  • อากิระเครียดมาก ดรอปเรียน หยุดรับงาน ยูเองก็พักฟื้นฟูจิตใจ และคนรอบข้างพยายามไม่ให้คนทั้งคู่เกี่ยวข้องแวะกันอีก
  • ตอนนี้ยูได้เปลี่ยนชื่อนามสกุลและย้ายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เมืองอื่น ทั้งๆที่ยังไม่รู้สาเหตุแท้จริงว่าทำไมอากิระถึงขอเลิก
  • เหตุการณ์ที่เกิด ทำให้อากิระไม่กล้าคบใครจริงจัง แต่ก็ไม่กล้าบอกเลิกใครด้วย ส่วนใหญ่ก็ทำตัวเลวๆให้โดนทิ้งซะเป็นส่วนใหญ่
  • พ่อแม่มีลูกหลายคน แม้จะเข้มงวดแต่ด้วยความดื้อในแบบอากิระสุดท้ายก็ขอออกมาอยู่ข้างนอกได้สำเร็จ  เงินทองมีส่งมาให้เรื่อยๆ แต่ไม่อยากขอ ส่วนใหญ่ก็เลยทำงานหาตังค์เอง
  • เล่นไลฟ์ คืนวัน อังคารกับศุกร์ / บาร์เทนเดอร์  จันทร์ พุธ เสาร์ สมาชิกในวง 4 คน นักร้อง (เท็ตสึ) กีต้าร์+หัวหน้าวง (Yoko) เบส (Zero)
  • เคยเป็นนายแบบอยู่ช่วงนึงตอนวัยรุ่น แต่เลิกเพราะไม่อยากให้แฟนเก่า (ยู) เห็นตัวเองออกสื่อ

ที่พักอาศัย : คอนโดหรูใกล้ผับที่ตนทำงานอยู่ ปกติไม่ค่อยยอมพาใครมา แต่ก็พาอากิมาตั้งแต่ครั้งที่ 3 ที่เจอกัน

สิ่งที่กลัว: ผีทุกชนิด

นิสัยส่วนตัว :

  • คล้ายจะใจเย็นไม่ค่อยโกรธใคร แต่เรื่องบนเตียงดูจะออกแนวใจร้อน และดิบๆอยู่ซักหน่อย
  • ไม่ชอบมีเรื่อง และไม่ชอบใช้กำลังกับใคร
  • ไม่ถนัดกีฬา แต่ถนัดไปทางดนตรีมากกว่า

สถานะ : แต่งงานแล้วคับ กับเจ้าเต่าทะเล ชิมิสึ อากิโนริ

—————————

| Gallery | 

—————————

—————————

| Side Story |

—————————

—————————

| Fan Fictions |

—————————

♥ By มานี

—————————

[SH] แนะนำลูกชาย “Arisue Sena” : โฮสต์หัวเขียวในตำนาน

Talk : Arisue Sena

คือลูกชายคนแรกในวงการคอมมูค่ะ เดิมทีเป็นส่วนหนึ่งของคอมมู Shigan-Higan Host Club แต่หลังจากคลับปิดตัวลง ปัจจุบันก็กลายมาเป็น ออริ-คาร์ ของแม่มันค่ะ เริ่มต้นมาถึงก็สมัครเป็นโฮสต์ในโตเกียวเลย คนเควายบื้อๆที่ไม่มีประสบการณ์การดูแลเทคแคร์ใคร ปากก็ช่างจิกกัดเหมือนจะไม่แคร์ใคร(ทั้งแม่ทั้งลูก)คนนี้ จะมาเป็นโฮสต์… มันจะไหวรื้อออออ….

…และแล้วสีหัวคุณเธอก็กลายเป็นสิ่งแรกที่ผู้คนจดจำค่ะ (/ซับน้ำตา) และอย่างที่สองคือความปริ้นซ์ของเจ้าตัว (/พรากกกก)…

Arisue Sena

—————————

| Profile |

—————————

Sena GR

หัวเขียวเวอร์ชั่น : ที่มาของฉายา ‘มาริโมะคุง’ หรือ ‘เจ้าสาหร่าย’

 Sena-B0

เวอร์ชั่นผมดำ : หลังจากอกหักอย่างแรงก็พยายามกลับมายอมรับตัวตนจริงๆของตัวเองมากขึ้น

เลยทำสีผมกลับมาเป็นสีดำตามธรรมชาติ

ชื่อ-นามสกุล : เซนะ อาริสุเอะ (นามสกุล อาริสุเอะ ขอจดทะเบียนเปลี่ยนเองตอนย้ายมาทำงานที่ญี่ปุ่น)

ชื่อจริงตอนอยู่ที่อังกฤษ : Sena Ashley Lee Eaton

อายุ : 28

วันเกิด : 29 มีนาคม

กรุ๊ปเลือด : AB

เพศ : ชาย

สัญชาติ : อังกฤษ

เชื้อชาติ : ญี่ปุ่น-อังกฤษ

ส่วนสูง/น้ำหนัก : 172 / 60

สีผม/สีตา : ดำ / ม่วงลาเวนเดอร์เข้ม

ประวัติ :

  • พ่อเป็นคนญี่ปุ่น (อุเอฮาระ เซย์) ได้พบรักกับ แม่ของเซนะ (อลิส นาร์ดีน) สมัยที่ไปเรียนต่อที่อังกฤษ ระหว่างคบกันนั้น แม่ของเซนะเกิดตั้งครรภ์แต่ทั้ง 2 คนไม่รู้ และตัดสินใจแยกทางกันเมื่อเซย์เรียนจบ และตัดสินใจเดินทางกลับประเทศญี่ปุ่น อลิสตั้งใจเป็นซิงเกิลมัม และไม่ได้แจ้งข่าวใดๆให้เซย์รู้ และทั้งคู่ก็ขาดการติดต่อกันไป
  • ชื่อเซนะ เป็นชื่อที่ เซย์และอลิสตั้งชื่อลูกด้วยกันเล่นๆสมัยยังเรียนด้วยกัน แต่อลิสก็ตัดสินใจมอบชื่อนี้ให้กับลูกชายของเธอ
  • ต่อมาอลิสแต่งงานกับชายชาวอังกฤษ (เจมส์ อีตั้น) และทั้งอลิสและเซนะได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง ของครอบครัวอีตั้น
  • ต่อมา แม่ของเซนะก็ให้กำเนิดน้องชายของเซนะ ชื่อ เวสลี่ เอ็ดเวิร์ด อีตั้น เซนะกับน้องชายก็รักใคร่กันดีจนกระทั่ง…
  • เมื่อเซนะ อายุ 7 ขวบ เขาถึงรู้ว่าตัวเองเป็นเพียงลูกเลี้ยงและรู้สึกเป็นส่วนเกินของครอบครัวอีตั้น เขารู้สึกถึงความแปลกแยก ทั้งที่พ่อเลี้ยงและแม่ของเขาก็ให้ความรักและดูแลเขาเป็นอย่างดี ตั้งแต่นั้นเขาก็เริ่มเก็บตัว เงียบขรึมลง และเริ่มสนใจ และเรียนรู้เกี่ยวกับภาษา และวัฒนธรรมญี่ปุ่น โดยมีเป้าหมายจะออกจากบ้านเพื่อไปตามหาพ่อแท้ๆในวันหนึ่ง
  • เซนะ เรียนจบจากมหาวิทยาลัย ในสาขาวิชา Media Marketing หลังเรียนจบเขาก็สมัครงานและได้งานหัวหน้าทีมโปรเจค งานอนิเมชั่นในบริษัทเอเจนซี่โฆษณาแห่งหนึ่งในโตเกียว
  • เมื่อย้ายมาทำงานที่ญี่ปุ่นเซนะเปลี่ยนนามสกุลตัวเองใหม่ตามชื่อแม่และพ่อแท้ๆ เป็น อาริสุเอะ ซึ่งมาจาก อลิส+อุเอ(ฮาระ)
  • หลังเข้าทำงาน เซนะพบว่าพ่อแท้ๆของเขาเป็นหนึ่งในบอร์ดบริหารของบริษัทที่เขาทำงานอยู่ด้วย เขาทำงานอย่างหนัก เพื่อให้ผลงานโดดเด่นขึ้นและเพื่อให้พ่อได้สังเกตเห็นเขา หากแต่ไม่นานนัก เขาก็ได้รู้ว่า พ่อของเขาเองก็แต่งงานมีครอบครัวที่น่ารัก และลูกชายลูกสาวที่น่ารักแล้วเช่นกัน
  • ช่วงที่ชีวิตเคว้งคว้างเขาได้พบกับลูกค้าของคลับโฮสต์ที่ชื่อ เซย์จิ และบางสิ่งบางอย่างที่เซย์จิทำ ทำให้เขากลับมาตั้งต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง

ที่พักอาศัย : ห้องเช่าหรูใกล้โฮสต์คลับ พักอยู่คนเดียว

สัตว์เลี้ยง : เต่าบก 1 ตัวชื่อ โนอาห์ เก็บได้จากสวนสาธารณะ

งานพิเศษอื่นๆ :

  • นอกเหนือจากการเป็นโฮสต์ที่ ชิกัน-ฮิกันโฮสต์คลับ เขายังทำงานบาร์เทนเดอร์พาร์ทไทม์ ที่ไอริชผับแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับคลับโฮสต์ด้วย เพราะเขาสนุกกับการผสมเครื่องดื่ม และเคยเรียนรู้มาจากรุ่นพี่ที่สนิทกันสมัยเรียนมหาวิทยาลัย
  • และเมื่อโฮสต์คลับปิดตัวลง ประกอบกับเป็นช่วงที่ฐานะการเงินเขาแย่ลง จึงทำงานเสริมเป็นพนักงานร้านกาแฟเล็กๆในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งด้วย

เป้าหมายในการเก็บสะสมเงิน : เพื่อกลับไปตั้งตัว และเริ่มชีวิตใหม่ที่ประเทศอังกฤษอีกครั้ง หลังจากเสียแม่ไปด้วยโรคมะเร็งตับ และยังมีความต้องการ รวมถึงความหวังเล็กๆที่จะเริ่มต้นใหม่กับสายสัมพันธ์บางๆ ที่มีกับครอบครัวอีตั้น

สิ่งที่กลัว: ผีทุกชนิด กลัวกระทั่งคอสเพลย์ชุดฮัลโลวีน และก็คนคอสเพลย์หูสัตว์ทุกประเภท

นิสัยส่วนตัว :

  • ไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์กับผู้คนนัก
  • ไม่ค่อยมีเซ้นส์ในการเข้าใจความคิด อารมณ์ของผู้อื่นนัก
  • ปากเก่ง ปากเสีย แต่ก็เป็นคนสุภาพ
  • ไม่ชอบมีเรื่อง และใช้กำลังกับใคร
  • ไม่ชอบเล่นกีฬา แต่โดนว่าว่าอ่อนแอ และเหมือนผู้หญิงมากๆเข้า จึงไปฝึกยูโด ไว้ป้องกันตัวเอง และคนรอบข้าง

สถานะ : โสด (NL BL OK ครับ)

—————————

| Gallery | 

—————————

—————————

| Side Story | 

—————————

[RP] Side Story 04 : “ข้าคือ…” Part 3 …บุรุษผู้ต้องคำสาป…

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของคอมมู

 RP Banner

 สังกัด

 LV Banner

[RP] Side Story 04 :

“ข้าคือ…” Part 3 …บุรุษผู้ต้องคำสาป…

Rating : 16+ (มีคิสซีนนิดหน่อย)

Word count : ประมาณ 7,365 คำ

Characters : เซธเซ่, ลูก้า โมโรนี่, เดรญ่า ชามาล, ซอนริญ่า เบคแกร์, จีโน่ (คาร์ NPC โคสตอรี่ไว้กับลูก้า)

Author’s Note : งานนี้เป็นการนำผลงานเก่า “ข้าคือ” จากคอมมูเดิม มารีไรท์ใหม่ โดยตอนแรกว่าจะแบ่งเป็นประมาณ 3 พาร์ท และพาร์ทนี้ก็น่าจะเป็นพาร์ทสุดท้ายแล้วล่ะ เรื่องราวก่อนที่เซธจะตัดสินใจขึ้นเรือสลัดลิเวียธาน ยังมีส่วนปลีกย่อยที่ไม่ได้เล่าอีกมาก แต่ยังไงจะค่อยๆพาลูกชายมาให้ทุกคนรู้จักในมุมอื่นๆมากขึ้นนะคะ ถ้าอ่านแล้วมีคอมเม้นท์แนะนำตรงไหนก็ยินดีนะคะ ขอบคุณที่อ่านด้วยค่ะ ^^

…………………………………………………………………………

[RP] Side Story 04 :

“ข้าคือ…” Part 3 …บุรุษผู้ต้องคำสาป…

…ลูก้า โมโรนี่…เป็นชื่อที่พิมพ์อยู่ด้านล่างของใบปิดประกาศจับเก่าๆในมือของข้า…

        เหนือชื่อและตัวเลขเงินรางวัลนำจับ เป็นภาพเด็กหนุ่มผมดำหยักเป็นลอนคลื่นนิดๆ ละกรอบใบหน้าคมเข้ม ผิวกายสีโอลีฟตามลักษณะของชาวเผ่ามัวร์ทำให้ดูสมชายชาตรีแม้จะมีวัยเพียงยี่สิบกลางๆเท่านั้น ดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่มองตอบมา กับรอยยิ้มที่เห็นเขี้ยวเล็กๆที่มุมปากคล้ายจะเยาะเย้ยเหล่าราชนาวีที่ปล่อยให้โจรสลัดตัวจ้อยเช่นเขาลอยนวลอยู่ในเมืองไวท์ทาวน์ อันเป็นเมืองที่มั่นของราชนาวีได้อย่างสบายใจ

…หรือไม่…รอยยิ้มของคนในรูป…อาจเป็นรอยยิ้มเยาะหยันคนอย่างข้า…

.

.

        ไม่นานนักหลังจากที่ข้าเอ่ยปากถามถึงชายผู้ซึ่งท่านจีโน่ยืนคุยด้วยในวันนั้น ลูก้า โมโรนี่ ก็ถูกควบคุมตัว โดยฝีมือของท่านจีโน่ เป็นผู้แจ้งข้อมูลให้กับทางการ

        ระหว่างที่ ลูก้า โมโรนี่ นอนรอวันเข้าสู่ลานประหารอยู่ในคุก เป็นช่วงเวลาที่ข้ารู้สึกไม่ดีเอาซะเลย ข้ารู้สึกเหมือนท่านจีโน่หลบหน้าข้า ส่วนข้าเองก็เข้าหน้าเขาไม่ติดเช่นกันด้วยเหตุผลที่ข้าเองก็ตอบไม่ได้

        ข่าวลือเรื่องที่ชื่อของท่านจีโน่ถูกโจรสลัดซึ่งจับกุมมาได้ตะโกนเรียกนั้น ยิ่งนานวันก็ยิ่งกลายเป็นข่าวลือแปลกๆ ซึ่งเริ่มสร้างความหงุดหงิดให้กับข้า ข่าวลือที่ว่า…ท่านจีโน่คบค้าสมาคมกับโจรสลัด…

…โจรสลัดชั่วช้าพวกนั้น…กับท่านจีโน่เนี่ยนะ…

…ไม่มีทางหรอก…ข้าไม่มีวันเชื่อข่าวลือบ้าๆพวกนี้แน่…

…คบกัน…กับโจรสลัดน่ะเหรอ…

.

.

…จูบครั้งที่สอง…

…เป็นความเอาแต่ใจ ของคนไม่รู้จักคิด…

        ริมฝีปากที่บดเบียดเข้ากับริมฝีปากนุ่มอุ่นของอีกฝ่ายตามอารมณ์ขาดสติยับยั้ง รับรู้แต่เพียงรสสัมผัสอุ่นหวามจากริมฝีปากคนตรงหน้า เสียงประท้วงร้องห้ามเล็ดลอดออกมาเบาๆจากอีกฝ่าย กลับไม่อาจหยุดความต้องการของข้าได้

        ในใจร้อนรุ่มมีเพียงความริษยา…ยิ่งได้ยินข่าวลือก็ยิ่งไม่สบายใจ…เมื่อเป็นสิ่งซึ่งเอ่ยปากระบายกับผู้ใดไม่ได้ ก็พาลมาลงเอากับคนตรงหน้า การกระทำจาบจ้วงล่วงเกินอย่างเอาแต่ใจ ไม่คิดถึงความรู้สึกอีกฝ่าย…ลืมความตั้งใจแต่เดิมที่มี…ลืมคำสัญญา…ว่าจะรับเท่าที่อีกฝ่ายจะให้ได้…

        มือข้างหนึ่งของท่านจีโน่วางทาบบนอกของข้าคล้ายจะดันออก แต่ก็เกร็งค้างไว้อย่างทำตัวไม่ถูก ปลายลิ้นอุ่นสัมผัสแนบชิดกัน ท่ามกลางความหวั่นไหวตามการสัมผัส มือที่เกาะเกี่ยวอยู่ข้างลำตัวขยุ้มกำเสื้อข้าแน่น

        พอคลายวงกอดออก อีกฝ่ายก็รีบดันหน้าข้าให้ผละออกจากกันทันที ก่อนจะเบือนหน้าหนี เหลือให้เห็นเพียงเสี้ยวใบหน้าที่เป็นสีแดงจัด แล้วท่านจีโน่ก็ลุกเดินหนีออกไปจากห้อง

        ไออุ่นจากกายอีกฝ่ายที่หลงเหลือยังคงค้างประทับอยู่ ในหัวยังมึนงงกับเหตุการณ์พาไปตรงหน้า ก่อนสติจะกลับมารีบลุกก้าวตามอีกคนไป

“ท่าน!…ท่านจีโน่!”

ร่างซึ่งเดินนำลิ่วด้านหน้าเอี้ยวตัวมาผลักอกข้าให้ออกห่าง โดยไม่ยอมหันมามองหน้า

“อย่าตามมา…”

        เมื่อปลายเท้าพ้นประตูห้องก็หันมาปิดประตูเพื่อยื้อไว้ หากแต่ด้วยความกลัวว่าถ้าตามอีกฝ่ายกลับมาไม่ทัน โอกาสจะได้ขอโทษ หรือทำให้อีกคนหายโกรธคงไม่มีอีกเป็นครั้งที่สอง ความคิดเดียวนั้นเองที่ทำให้ข้ายื่นมือเข้าขวางประตูซึ่งกำลังถูกปิด จนโดนหนีบกระแทกเข้าที่แพนิ้วทั้ง 4 เต็มแรง มือข้างนั้นสั่นระริก มีรอยแดงช้ำจนน่ากลัวตลอดแพนิ้วช่วงเหนือโคนนิ้วขึ้นมาเล็กน้อย

        เสียงร้องตอนโดนกระแทกดังพอจะรั้งคนที่เดินหนีให้กลับมาดูด้วยความตระหนก

        “เป็นไงบ้าง โดนเหรอ?” เห็นคนที่เดินหนีหน้า หันกลับมาจับประคองมือตนที่เจ็บขึ้นมาดูอาการใกล้ๆอย่างห่วงใย ข้าก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย จนนาทีนั้นแทบจะลืมเจ็บ ลืมกังวลถึงบาดแผลที่มือตนเสียสนิท

“อย่า… อย่าโกรธนะครับ ข้า….ข้า…ไม่ดีเอง…” เสียงตอบละล่ำละลัก ตระหนกตกใจจนสั่น

คิ้วเรียวเหนือดวงตาสีน้ำตาลอ่อนขมวดเข้าหากัน สีหน้าแสดงชัดว่าโมโหขึ้นมาทันที

“ไม่ได้โกรธ…” เสียงเข้มดุใส่ “ไปโรงหมอเถอะ กระดูกอาจจะแตกก็ได้นะ” อีกฝ่ายเปลี่ยนไปคว้าจับข้อมือข้าไว้ ฉุดให้ลุกตาม

“ท่านจีโน่งานยุ่งอยู่นี่ครับ …แค่นี้คงไม่เป็นไรเดี๋ยวข้าไปโรงหมอเองก็ได้ ….อยู่ทำงานเถอะครับ อุ่ก!!”

พูดได้เท่านั้นก็ต้องตัวงอ เมื่อถูกอีกคนต่อยเข้ากลางพุงจนจุก ตามด้วยสายตาที่ตวัดมองกลับมาอย่างโกรธๆ

“ยังจะอิดออดอีกเหรอ ดูแลตัวเองยังไม่ได้จะมาดูแลคนอื่นได้ไง เจ้าทึ่มนี่ ลุกขึ้นเร็วเข้า ไปโรงหมอเดี๋ยวนี้!”

ยังไม่ทันยันตัวลุกขึ้นยืนได้ ก็โดนอีกฝ่ายขยุ้มคอเสื้อกระชากถูลู่ถูกังให้เดินตามไปขึ้นรถม้าที่ด้านหน้าคฤหาสน์เพื่อไปโรงหมอทันที

.

.

ตลอดเส้นทางบนรถม้าที่แล่นมา ท่านจีโน่เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา มองมือข้างนั้นซึ่งเริ่มบวมช้ำขึ้นทีละนิด

“รังเกียจเหรอครับ?”

“…เปล่า แต่ข้าก็เคยพูดกับเจ้าไปหมดแล้ว อยากได้นักหรือไง จูบที่มีแต่ความใคร่น่ะ?”

“…ท่านจะให้อะไรมา ให้มาแค่ไหนข้าก็ขอรับเท่านั้นแหละครับ… ข้ายินดีกับทุกสิ่งที่ท่านมอบให้มา”

คำพูดเดิมๆที่เอาแต่พล่ามบอก หากแต่การกระทำกลับขัดแย้งอยู่ตลอดทำให้อีกฝ่ายเริ่มมีอารมณ์

        “เห็นข้าเป็นของเล่นของเจ้าเหรอเซธ นึกจะจูบก็จูบ…เจ้าไม่เห็นสนสักหน่อยว่าข้าจะคิดยังไง แล้วก็ไม่ได้ฟังที่ข้าเคยพูดกับเจ้าไปก่อนหน้านี้เลยสักนิด”

“…ข้าไม่เคยเห็นท่านเป็นของเล่น…ข้า…แคร์ความรู้สึกของท่านนะ”

“หยุดพูดเถอะเซธ!…ก่อนที่ข้าจะไม่เชื่อคำพูดอะไรของเจ้าอีกต่อไป”

ความรู้สึกเหมือนถูกน้ำแข็งเย็นเฉียบสาดใส่หน้าอย่างจังจนพูดไม่ออก

        สองสิ่งสุดท้ายที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะสูญเสียมันไป…เพิ่งได้ตระหนัก…ว่าสิ่งที่ข้ากำลังทำลายมันลงทีละนิดจากการกระทำที่ไร้ความคิดของข้า…จากความโลภที่หวังเพียงจะให้ได้มาซึ่งความรัก…มันคือ…ความไว้ใจ…และมิตรภาพความผูกพันที่มีด้วยกันตลอดมา…

        ความสำนึกผิดได้คิด และความกลัวกับการสูญเสีย ทำให้ได้เพียงลอบมองคนที่นั่งหันหน้าหนีไปอีกทางตลอดเวลาจนถึงโรงหมอ

…หลังจากที่ท่านหมอตรวจดูอาการและดามเฝือกที่นิ้วให้ข้าแล้ว เราทั้งคู่ก็กลับมาอยู่ในความเงียบด้วยกันอีกครั้ง…

        เสียงฝีเท้ากุบกับของม้าลากรถกระทบกับพื้นหินตลอดทาง เป็นเพียงสรรพเสียงเดียวท่ามกลางความเงียบ ทั้งที่ท่านจีโน่ก็นั่งอยู่ติดกันกับข้า แม้จะหันจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่ตลอดเวลา… หากแต่ข้ากลับรู้สึกเหมือนห่างไกลจนเอื้อมมือไขว่คว้าคนตรงหน้าไม่ถึง…ช่องว่างในใจที่เริ่มขยายออกจนต้องรีบหยุดมันก่อนที่ข้าจะร่วงดิ่งลงไปถึงก้นหลุมที่ดำสนิทนั่น…

ข้าเอื้อมมือข้างซึ่งไม่เจ็บไปกุมมืออีกฝ่ายไว้เบาๆ เอนหน้าไปกระซิบ

“ข้ามันเอาแต่ใจร้อนทำเรื่องให้ท่านปวดหัวใช่ไหมครับ จากนี้ไปข้าจะใจเย็นรอคอยจนกว่าท่านจะมั่นใจในตัวข้าอีกครั้งดีไหมครับ?”

ท่านจีโน่ส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะเบนหันไปอีกทาง

        “ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าควรเลิกคิดเป็นเพื่อนกับเจ้า…จะเป็นเพื่อนกัน หรือออกไปจากชีวิตข้า เจ้าเลือกเอาแล้วกัน…ข้าไม่ใช่พวกไม่ประสีประสาหรอกนะเวลาที่เจ้าจูบข้า…ถ้าข้าปฏิเสธ บรรยากาศก็แย่ลง เจ้าเองก็เจ็บปวด ข้าเองก็หงุดหงิด ถ้าข้าตอบรับ…มันก็เหมือนให้ความหวังกับเจ้า…ซึ่งข้าก็ไม่อยากทำแบบนั้น…มันไม่มีทางเลือกให้ข้าเลย เซธ…”

        ถึงจะเป็นคำพูดที่แรงแค่ไหน…ที่ผ่านมาข้าก็ไม่เคยกังวล เพราะรู้ดีว่าสำหรับท่านจีโน่ ยังไงซะข้าก็เป็นคนพิเศษในสายตาเขา…แต่ในตอนนี้มันไม่ใช่…สิ่งที่ข้ากลัวในที่สุดมันก็เกิดขึ้นจนได้…การสูญเสีย…

…ความไว้ใจ…และมิตรภาพความผูกพันที่มีด้วยกันตลอดมา…

“เข้าใจแล้วครับ… จากนี้ไปข้าจะไม่ทำเรื่องแบบนั้นให้ท่านลำบากใจอีก… เป็นเพื่อนกันก็พอใช่ไหมครับ… งั้นก็ตกลงตามนั้น”

        ที่ผ่านมาไม่ใช่ไม่เคยฝืนยิ้ม หากแต่รอยยิ้มที่ฝืนอยู่ตอนนี้ เป็นรอยยิ้มเดียวที่ข้าไม่อยากจะถูกอีกคนจับได้ว่ามันฝืน หากต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปในคราวเดียวกัน ข้าคง…อยู่ต่อไปไม่ได้…สิ่งที่ข้าพยายามจะยื้อยุดอย่างสุดแรงกลับมาในตอนนั้น…อย่างน้อย…ก็คือ…มิตรภาพ…

เมื่อเริ่มจะปกปิดความรู้สึกว่างเปล่าภายในไม่ไหวอีกต่อไปข้าก็หันไปบอกลาอีกฝ่าย

“ขอข้าลงแถวนี้ละกันครับ ข้าอยากเดินรับลมขากลับสักหน่อย ราตรีสวัสดิ์ครับท่านจีโน่”

ยกมือขวาขึ้นทำวันทยาหัตถ์ตบเท้าอย่างเข้มแข็งเป็นเชิงล้อ ก่อนส่งยิ้มบางให้และยืนส่งจนรถม้าของท่านจีโน่เคลื่อนจากไป

        เสียงฝีเท้าม้าที่ห่างออกไปเลือนหายลงพร้อมๆกับรอยยิ้มของข้า เมื่อไม่มีสายตาของผู้ซึ่งไม่อยากให้เห็นว่าเจ็บปวดและอ่อนแอ สองเท้าก็พาร่างตนเดินคอตกไหล่ลู่ นัยน์ตาเหม่อลอยไปตามทางอย่างไร้จุดหมาย ขาหนึ่งลากอีกขาก็ลากตามไป อันที่จริงสิ่งที่หนักอึ้งจนทำให้ก้าวเท้าต่อไปแทบไม่ไหว ไม่ใช่ร่างกาย…หากแต่เป็นหัวใจซึ่งแหลกสลายในตอนนี้ตะหาก คำพูดของอีกฝ่ายดังก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว

…จะเป็นเพื่อนกัน หรือออกไปจากชีวิตข้า เจ้าเลือกเอา…

        สิ่งเดียวที่ไม่อาจตอบออกไปได้…ข้าออกไปจากชีวิตของท่านไม่ได้…เพราะชีวิตของข้าที่ไม่มีท่าน…มันไร้ซึ่งความหมายของคำว่าชีวิต…ในเมื่อ…โลกทั้งโลกของข้า…มีแต่ท่าน…มันไม่มีทางเลือกให้ข้าเช่นกัน…ท่านจีโน่…

        จากนี้ไป…ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านได้หรือไม่…แม้แต่ข้าเองก็ยังสงสัย…เป็นเพื่อนอยู่คียงข้างท่าน แล้วปล่อยให้ก้อนเนื้อซึ่งเต้นอยู่ภายในค่อยๆตายจากไปทีละน้อยดี…หรือจะเลือกทางที่สอง…แล้วอยู่ต่อไปอย่างร่างที่ไร้ลมหายใจดี…ไม่ว่าทางเลือกไหนมันก็ไม่ได้ต่างกัน…

        คำตัดสินประหารชีวิตที่ผ่าเปรี้ยงเข้ามาโดยไม่ทันเตรียมใจ ทำเอาตั้งตัวไม่อยู่ คงเพราะข้าลำพองเกินไป หลงตัวมั่นใจว่าท่านเอ็นดู ห่วงใยข้าเสมอมา ไม่มีวันที่ท่านจะเอ่ยปากขับไล่ข้าได้… เพราะคิดแต่จะหลอกใช้ความใจดีของท่านจีโน่…เป็นแบบนี้ก็สาสมแล้ว

        ดวงตาพร่าไปด้วยของเหลวที่รื้นขึ้นมาคลอดวงตา ก่อนร่วงหล่นทีละหยดไปตามทางที่ฝีเท้าของข้าก้าวเดินไป ไม่ช้าใบหน้าก็อาบไปด้วยน้ำตาซึ่งไหลเป็นทางอย่างไม่อายใคร

        ไหล่ที่ตกลู่กระแทกเข้ากับร่างของคนผู้หนึ่งซึ่งโงนเงนเซเข้ามาปะทะ ข้าไม่ได้เงยหน้ามอง…ไม่มีแม้แต่อารมณ์จะเอ่ยคำขอโทษ ชายฉกรรจ์ท่าทางเมาจัดซึ่งก้าวพรวดออกมาจากร้านเหล้าข้างทางมาชนข้าจึงเป็นฝ่ายเรียกข้าที่เอาแต่ยืนเงียบนิ่ง

“มาอยู่ทำไมตรงนี้วะไอ้หนู?”

        มือหยาบหนาของมันตบหนักๆเข้าที่ข้างแก้มของข้าซ้ำๆสองสามทีคล้ายจะเอ็นดู แม้จะไม่เต็มแรงนักหากแต่ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาด้านนั้นก็ชาไปทั้งแถบ ดวงตาแดงก่ำด้วยฤทธิ์สุราจ้องมองข้าพลางยิ้มหยัน ในขณะที่เพื่อนอีกสองคนของมันเดินตามออกมาจากร้าน ท่าทางเมามายไม่แพ้กัน หากแต่ดูมีสติกว่าบ้าง

“เฮ้ยยย! มีไรกันวะ! แล้วไอ้หนุ่มนี่ครายยยย อย่ามาเกะกะ ไปไหนก็ไปให้พ้นๆหูพ้นๆตาพวกข้าไป๊!”

คนทั้งสามเดินชนกระแทกไหล่ข้า ทำท่าจะเดินผ่านไปอยู่แล้ว…ในตอนที่…

“ผิดตรงไหนล่ะ?…”

“หื้ม? ว่าไงนะไอ้หนู เอ็งพูดพึมพำด่าอะไรพวกข้าวะ?”

        ชายฉกรรจ์ทั้งสามเดินกลับมาล้อมข้าทั้งหน้าหลังทันที ข้าเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาสีม่วงไร้แสงจ้องมองภาพตรงหน้านิ่ง

“ข้าถามว่า…ทำไม…ข้าถึงต้องไปด้วย…!”

“ช้ะ! ไอ้หนูนี่…มึงวอนตายนักใช่ไหม?”

        คนถามย่างสามขุมเข้ามาขยุ้มคอเสื้อข้ากระชากเข้าหา ข้าก็ปล่อยร่างเซตามแรงของอีกฝ่ายไป ใบหน้าอาบด้วยคราบน้ำตายกยิ้มเหยียดหยันมองเหม่อสบตาอีกฝ่าย หากแต่ไม่คิดจะหยุด

        “ข้าถาม…ว่าทำไมถึงอยู่ตรงนี้ไม่ได้ล่ะ…มันผิดด้วยเหรอ!…ถ้าท่านไล่ข้าแล้ว…จากนี้ข้าจะไปอยู่ที่ไหนได้อีก?”

        ริมฝีปากเอาแต่พึมพำออกไปอย่างควบคุมไม่ได้ สิ่งที่พร่างพรูออกมาล้วนเป็นคำพูดซึ่งไม่อาจเอ่ยปากบอกกับผู้ใดได้ ในอกตอนนี้เจ็บจนร้องไม่ออก ในหัวว่างเปล่ารู้สึกเหมือน…ตนเองกำลังจะตาย…

        ความคิดโง่ๆที่มีในตอนนั้น…เพียงอยากให้ร่างกายได้รับความเจ็บปวด…จะเป็นหมัด เป็นเท้า…จากใครก็ได้…อยากให้…ความเจ็บปวดทางกาย…ช่วยลบล้างความเจ็บปวดสาหัสอื่นๆที่มีอยู่ในตอนนี้ให้หมดไป…แล้วมันก็ได้ผล…

.

.

        สิ่งสุดท้ายที่จำได้ก่อนหมดสติ คือความเจ็บปวดบอบช้ำทั่วทั้งร่าง ขณะที่นอนหายใจแผ่วเบาอยู่ในซอกตึกแคบเปลี่ยวซึ่งตนถูกลากมาโยนทิ้งไว้ในยามดึกสงัดค่ำคืนนั้น

.

.

        รู้ตัวอีกทีก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงของวันถัดไป ในสภาพที่โดนยำจนเละไม่ได้สติ พยายามจะยันกายลุกก็ต้องนิ่วหน้าทันที เพราะลืมไปว่ามือยังเจ็บจนต้องใส่เฝือกบังคับไม่ให้ขยับอยู่ หากแต่สภาพเฝือกตอนนี้ก็ยับเยินไปกับแรงกระทืบของหนึ่งในบรรดาขี้เมาทั้งสามคนจนขยับไม่ได้ กว่าจะลากสังขารตัวเองในสภาพนั้นกลับถึงห้องพักก็ลากไปช่วงบ่ายแล้ว ดีที่วันนั้นไม่ต้องเข้าเวร จึงทำให้ไม่เสียงานเสียการอันใด

        ข้านอนว่างเปล่าเหม่อมองเพดานห้องอยู่นาน จนมีพลทหารนำสาส์นจากท่านจีโน่มาส่งถึงห้องเพื่อถามไถ่ถึงอาการบาดเจ็บของมือข้า…ยิ่งรับรู้ได้ถึงความห่วงใย…ยิ่งไม่อยากทำให้เขาเป็นห่วง…

        ข้าจึงส่งข้อความตอบกลับไปกับพลทหารนายนั้น เนื้อความร่าเริงเป็นปกติ…จนถึงช่วงค่ำจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงชำระร่างกายให้กลับมาดูเป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง ก่อนจะกลับเข้าทำงานที่กรม

.

.

        ตั้งแต่ตกลงทำตามข้อตกลงในวันนั้น ข้าได้แต่ระวังที่จะไม่ล่วงล้ำเส้นขอบเขตของความเป็นเพื่อนกับท่านจีโน่…แปลกดี…บางครั้ง…การยิ่งถอยออกมามองดูห่างๆก็ยิ่งทำให้ข้าเข้าใจอะไรๆได้มากขึ้น

        ยิ่งใกล้ประกาศกำหนดการวันประหารของ ลูก้า โมโรนี่…ท่านจีโน่ก็ดูจะไม่เป็นตัวของตัวเองมากขึ้นทุกที หลายครั้งที่ข้าเห็นเขายืนใจลอยมองเหม่อออกไปที่นอกหน้าต่างเป็นเวลานานๆ บางครั้งก็พลาดทำอะไรผิดเพี้ยนเหมือนคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยิ่งเห็นก็ยิ่งห่วง…

        แม้จะหงุดหงิดกับข่าวลือต่างๆที่ออกมามากเพียงใด ข้าก็ได้แต่ปิดหูปิดตาไม่รับรู้ ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าการจับกุม ลูก้า โมโรนี่ได้ เป็นผลงานของท่านจีโน่ ดังนั้นมันจะแปลกอะไรที่คนอย่างลูก้าจะหาทางเอาคืนโดยการปล่อยข่าวทำลายท่านจีโน่บ้างไม่ได้…

        ตลอดเวลาข้าพยายามมองข้ามลางสังหรณ์ของตัวเองมาตลอด ข้าพยายามหลอกตัวเองไม่ให้นึกถึงภาพเหตุการณ์ซึ่งตนได้เห็นในวันที่สองคนนั้นอยู่ด้วยกัน

        ในที่สุดกำหนดการวันประหารก็ถูกประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ การประหารครั้งนี้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เพราะไม่เพียงแค่ ลูก้า โมโรนี่ เท่านั้น ที่จะต้องจบชีวิตลงในวันนั้น แต่มันยังเป็นวันประหารของเดรญ่า ชามาล อีกด้วย

        …วาระสุดท้ายของโจรชั่วที่ฆ่าพ่อข้ากำลังใกล้เข้ามา ความตื่นเต้นดีใจ ทำให้ข้าทำพลาดในหลายๆเรื่องและแทบไม่ทันได้เฉลียวใจสักนิด…

        จากหน้าต่างห้องทำงานของท่านจีโน่ ข้าสามารถมองลงไปยังลานประหารได้อย่างชัดเจน แต่มันก็ไม่สาแก่ใจ ข้าตั้งใจว่าจะลงไปอยู่ที่ด้านล่าง เป็นหนึ่งในบรรดาฝูงชนซึ่งจะตะโกนโห่ร้องดีใจเมื่อการประหารเริ่มขึ้น หากแต่ก่อนหน้าวันประหารเพียงสี่วัน ท่านจีโน่กลับเรียกข้าเข้าไปพบ

        “…เซธ…ข้ามีงานด่วนให้เจ้าไปทำภายในพรุ่งนี้ เจ้าจงหาม้าของกรมดีๆสักตัว นำสาส์นนี่ไปส่งให้ถึงมือชายหนุ่มหลังค่อมชื่อ ‘ราอิล’ ที่ท่าเรือเมืองซิลเวอร์วินด์ เขาจะออกมานั่งรอตรงท่าเรือทุกเย็น หากไม่เจอให้ลองไปดักรอในเย็นวันรุ่งขึ้น เข้าใจไหม?”

        แต่ไหนแต่ไรมา หากเป็นคำสั่งในเรื่องงาน ข้ามักจะถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดโดยไม่ซักถามที่มาที่ไปนัก ด้วยเข้าใจถึงเนื้องาน บางเรื่องยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี…แต่ว่าครั้งนี้…ข้าอยากอยู่ดูการประหาร เดรญ่า ชามาล ด้วยตาตนเอง…โจรชั่วที่ฆ่าพ่อ!…การเดินทางไปกลับซิลเวอร์วินด์  ต่อให้เป็นม้าเร็วไปกลับรวมแล้วอย่างไรก็ไม่ต่ำกว่าสองวัน นี่ก็ใกล้วันประหารมากแล้ว หากผิดพลาดขึ้นมา…

“…ไม่ไปได้ไหมครับ?” ข้าถามออกไปด้วยเสียงแหบพร่า ไม่กล้าเงยหน้ามองหน้าอีกคน

ท่านจีโน่ถึงกับชะงักหันมายิ้มบางให้ คิ้วได้รูปตกลงเล็กน้อย แทนความรู้สึกหลายๆอย่าง

“…ไม่ได้หรอก..ขอโทษนะ…” ผู้พูดสูดหายใจเข้าลึก

       “ข้าอยากให้เจ้าไป งานนี้สำคัญมาก ข้าไม่ไว้ใจใครนอกจากเจ้า ก่อนไปเจ้าเขียนใบลางานทิ้งไว้ด้วย ว่าจะเดินทางไปพักผ่อนที่นั่น และอย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครฟังเด็ดขาดเข้าใจไหม?”

ข้าได้แต่หายใจเข้าลึกๆ ข่มความผิดหวังไว้ในใจ อย่างไรเสียก็ยังมีส่งยิ้มให้กับอีกฝ่าย

“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ… ก็แค่การเอาแต่ใจของข้าเท่านั้นเอง”

.

.

        ข้าเริ่มปฏิบัติตามคำสั่งโดยทันที ด้วยความหวังที่ว่าจะเร่งมือทำภารกิจซึ่งได้รับมอบหมายให้เสร็จก่อนกำหนด และกลับมาให้ทันวันประหารที่ถูกกำหนดไว้

        ข้าเลือกอาชาซึ่งวิ่งได้เร็วที่สุด แข็งแกร่งและทรหดที่สุด เพื่อให้ไม่เสียเวลาแวะพักในระหว่างการเดินทางมากนัก ถ้างานเสร็จเร็วตามกำหนดข้าน่าจะกลับมาไวท์ทาวน์ทันเช้าวันประหารเดรญ่า อย่างไม่ลำบากนัก

        ภารกิจการเดินทางเป็นไปด้วยความราบลื่นตามกำหนดการที่วางไว้ อุปสรรคเพียงสิ่งเดียวก็คือ…ที่ท่าเรือซิลเวอร์วินด์ไม่มีแม้แต่เงาของ ราอิล…

        ข้าไปถึงซิลเวอร์วินด์ในช่วงเย็นของวันที่สอง รีบหาห้องพักสำหรับคืนนั้น และออกไปนั่งเฝ้าที่ท่าเรือตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำมืดก็ไม่พบ ราอิล…

        วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันที่สาม ข้าจึงออกไปนั่งเฝ้าที่ท่าเรือแต่เช้าตรู่ ข้าหามุมที่หลบจากแสงแดดและลมทะเล หากแต่เป็นมุมที่ยังสามารถมองเห็นหาดทรายและเกลียวคลื่นได้ชัดเจน…มันทำให้หวนนึกถึงคำสัญญากลายๆ ที่ว่าจะมาที่ทะเลกับท่านจีโน่แล้วก็ใจหายขึ้นมา…คำพูดที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยังจำมันได้อยู่ไหม…

        …ใกล้เวลาพลบค่ำ จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีวี่แววของชายหลังค่อมที่ว่า…แล้วจู่ๆความคิดหนึ่งก็แว่บเข้ามาในหัว ข้ารีบรื้อกระเป๋าสัมภาระ หยิบเอาแผ่นหนังซึ่งถูกม้วนปิดผนึกมาอย่างดีออกมาแกะออกอ่านข้อความในนั้น…

        …สาส์นของท่านจีโน่…ถึงชายชื่อราอิล…

[ข้ารู้ว่าข้าชอบเรียกเจ้าว่าเจ้าทึ่ม แต่ว่าจริงๆแล้วข้าไม่ได้คิดว่าเจ้าทึ่มจริงๆหรอกนะ เจ้าน่ะฉลาดออก ยิ่งถ้าเจ้ากำลังอ่านข้อความนี้อยู่แปลว่าเจ้ารู้แล้วสินะว่าข้าทำอะไรลงไป ใช่แล้วล่ะชายหลังค่อม ‘ราอิล’ หรือ ‘Ra-il’ ก็คือ ‘Liar’ (คนโกหก) นั่นเอง…ขอโทษนะเซธ…ในหลายๆเรื่อง

ขอโทษที่ไม่ได้ไปทะเลกับเจ้า…แต่ข้าว่าเจ้าคงได้นั่งดูทะเลซิลเวอร์วินด์เผื่อข้าเรียบร้อยแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ฉลาดเกินจนหันหลังกลับตั้งแต่ขาไปหรอกนะ

ขอโทษที่ทำให้เจ้าเจ็บ…แต่ว่า…ข้าน่ะคิดถึง…เซธคนเดิมที่ข้าอยู่ด้วยแล้วสบายใจจริงๆ ขอโทษนะที่พูดแบบนี้

…โชคดีนะเซธ ขอบคุณที่อยู่กับข้ามาตลอด…]

        ข้อความสั้นๆในม้วนหนังกระชากหัวใจข้าตกวูบ คืนนั้นข้าควบม้าเต็มฝีเท้าตลอดทั้งคืน จากซิลเวอร์วินด์ ตรงดิ่งกลับมาไวท์ทาวน์ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ทัน…

.

.

        เสียงปืนดังขึ้นมาจากทิศซึ่งลานประหารตั้งอยู่หลายนัดติดๆกัน ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องและเสียงตะโกนโหวกเหวกวุ่นวาย เสียงโห่ร้องอันปะปนจนแยกฝ่ายไม่ออก ตามมาติดๆด้วยเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวจนฝุ่นควันตลบฟุ้งไปทั่วบริเวณ ลานประหารในตอนนั้น ไม่ต่างจากสมรภูมิย่อยๆในการฝึกภาคสนามของกรมราชนาวีเลยทีเดียว

        ม้าซึ่งขี่อยู่แม้จะถูกฝึกมาอย่างดี แต่ก็ตื่นตระหนกกับสภาพความสับสนวุ่นวาย และฝูงชนซึ่งไปรอชมการประหารที่วิ่งหนีแตกฮือกันอลหม่านเบื้องหน้า

        ข้าจำเป็นต้องลงจากหลังม้าก่อนที่จะควบคุมมันไม่อยู่ตกลงมา และรีบเดินจูงม้าสวนทางกับผู้คนมุ่งหน้าตรงไปยังลานประหารอย่างร้อนใจ คว้าแขนใครได้ก็ยิงคำถามใส่ทันที

“เกิดอะไรขึ้น?!”

“พวกโจรสลัด! มันมาบุกชิงตัวนักโทษ!”

.

.

“ตายแล้ว หนีเถอะพ่อหนุ่มนายทหารคนใหญ่คนโตโดนลอบฆ่าตายกันเป็นเบือเลย”

.

.

“เขายิงกันอุตลุตแล้วเจ้าหนุ่ม! เผ่นเถอะ เดี๋ยวจะโดนลูกหลงเอา!”

.

.

        ความรู้สึกไม่ดีที่เกิดขึ้นตั้งแต่อยู่ซิลเวอร์วินด์รุนแรงขึ้นอีกครั้งในอก… ในท้องปั่นป่วน เลือดในกายสูบฉีดอย่างแรง หากแต่สมองกลับไม่ทำงาน มันพร่าเบลอ หูทั้งสองข้างอื้ออึงจนไม่ได้ยินอะไรเหมือนอยู่ในความฝัน… ในหัวใจกรีดร้อง…ท่านจีโน่อยู่ที่ไหน?!!…

!!!!…ท่านจีโน่!!!…

        ไม่รู้ตัวเลยว่าสายจูงม้าหลุดมือไปตอนไหน…ตอนที่เดินไปถึงลานประหาร…สภาพของมันทำให้ข้ารู้ว่าข้าคิดผิด มันแตกต่างและไม่มีอะไรเลยที่เหมือนกับการฝึกภาคสนาม…กลิ่นคาวเลือดและดินปืนยังคงคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ แม้เหตุการณ์วุ่นวายจะจบลงแล้ว…สภาพโดยรอบยังมีกองศพและชิ้นส่วนจากการระเบิดกลาดเกลื่อนไปทั่ว…

        ทั้งคนเจ็บทั้งราชนาวีและทีมแพทย์เดินสวนกันไปมาแลดูขวักไขว่ สภาพคนเจ็บซึ่งนอนระเกะระกะส่งเสียงร้องโอดโอย ทยอยถูกหามใส่เปลพยาบาลเคลื่อนย้ายไปโรงหมอทีละคนๆ หลังได้รับการปฐมพยาบาลดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

        ข้าสอดส่ายสายตากราดมองใบหน้าของร่างที่พบทีละร่างๆ เป็นครั้งแรกที่ข้าเอาแต่ภาวนาขอให้ร่างเหล่านี้ไม่ใช่คนที่ข้าตามหา…

        ในที่สุดข้าก็พบท่าน…เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนละตามกรอบหน้า…คิ้วเรียวปลายตกนิดๆเหนือดวงตาสีชาซึ่งบัดนี้ปิดสนิทราวกับเด็กน้อยซึ่งกำลังหลับใหล…มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้ายืนเฝ้าดูใบหน้าของเขาในยามหลับ…ทุกๆครั้งข้าจะทำเพียงแค่นั่งมอง ฟังเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายท่ามกลางความเงียบ…ไม่มีครั้งไหนเลยที่ข้าจะนึกอยากปลุกให้เขาลืมตาตื่นขึ้นมามากเท่ากับวันนี้…

.

.

………………………………………….

        ประตูไม้หนาหนักของห้องทำงานท่านจีโน่ เป็นเหมือนปราการเหล็กอันน่าสะพรึงกลัว หลังบานประตูนี้มีความทรงจำมากมายซึ่งรอคอยข้าอยู่เพียงข้าเอื้อมมือผลักเปิดเข้าไป

        กวาดสายตามองเข้าไปในห้องโดยรอบอย่างผ่านๆ สภาพภายในห้องซึ่งถูกรื้อค้นจนกระจัดกระจาย เป็นภาพอันโหดร้ายสำหรับข้าผู้ได้แต่ยืนมองอย่างเงียบงัน…

        หน่วยสอบสวนภายในได้เข้ามาตรวจค้นตั้งแต่วันก่อนหลังจบเหตุการณ์ ด้วยเชื่อว่าน่าจะหลงเหลือหลักฐานการติดต่อระหว่าง เรือเอก จีโน่ กับกลุ่มโจรสลัดที่บุกเข้าชิงตัวเดรญ่า แต่ทั้งหมดก็คว้าน้ำเหลว ไม่มีหลักฐานใดๆเชื่อมโยงท่านจีโน่กับเหตุการณ์ดังกล่าว นอกเหนือจากคำให้การของนายทหารซึ่งเห็นท่านจีโน่เป็นผู้ประทับปืนเปิดฉากความวุ่นวายในลานประหาร ด้วยการยิงลอบสังหารเพชฌฆาต และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ในพิธีการเมื่อหลายวันก่อน

        ข้าวของส่วนใหญ่ยังอยู่ครบแม้ว่าจะกระจัดกระจายไปบ้าง สูทเครื่องแบบตัวนอกยังถูกวางคลุมพนักเก้าอี้ทำงาน ปลายนิ้วเลื่อนลูบไล้ป้ายโลหะบนอกเสื้อแผ่วเบา แผนที่ผืนใหญ่ไหลลงมากองอยู่กับพื้น แผ่นที่ซึ่งยังขาดรายละเอียดของเมืองและน่านน้ำต่างๆเว้าแหว่งเป็นบางส่วน ราวกับจิ๊กซอร์ที่ยังต่อไม่เสร็จ

…ท่านจีโน่ล่ะครับ อยากไปไหน?…

…ทะเล…

        สองเท้าก้าวไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่างบานใหญ่… หากมองลงไปเบื้องล่าง มันคือลานประหารในวันนั้น …แต่หาก…เลื่อนสายตามองไกลออกไป…ตรงใกล้เส้นขอบฟ้า…สิ่งที่สะท้อนแสงแดดจนส่องประกายระยิบระยับห่างไกลออกไป

…ทะเล…

.

.

        ในการเปิดฉากบุกชิงตัวนักโทษนั้น นายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายคนถูกลอบยิงกลางลานประหาร ปลอกกระสุนซึ่งพบในที่เกิดเหตุ และบนตัวศพได้รับการยืนยันว่าเป็นกระสุนของฝ่ายราชนาวี…ปลอกกระสุนและหัวกระสุนแบบเดียวกันกับที่พบในร่างของท่านจีโน่… แม้จะมีความเคลือบแคลงในหลายๆจุด ทางกรมราชนาวีก็ประกาศการตายของท่านจีโน่ว่าเป็นการถูกลอบยิงโดยไส้ศึกในกองทัพซึ่งเป็นสายให้กับโจรเช่นเดียวกับศพนายทหารท่านอื่นๆ

…ไม่มีใครพบศพ เดรญ่า ชามาล และ ลูก้า โมโรนี่ สันนิษฐานได้ว่า ทั้งคู่หนีรอดจากลานประหารไปได้…

        เนื่องจากมีเพียงพยานแต่ไม่พบหลักฐานอื่นใด กอปรกับชื่อเสียงของตระกูลแองเจโลนี่สุดท้ายผลการสอบสวนภายในก็เงียบไป ท่ามกลางความเชื่อของหลายๆฝ่าย ว่าหนึ่งในนักโทษประหารน่าจะเป็นคนรู้จักของราชนาวี

        หากไม่มีจดหมายลางานไปเที่ยวซิลเวอร์วินด์ซึ่งข้าเขียนทิ้งไว้ก่อนหน้า…และการยืนยันที่อยู่จากโรงแรมที่ข้าเข้าพักในเมืองระหว่างภารกิจในซิลเวอร์วินด์ ข้าเองก็คงติดร่างแหถูกสอบสวนไปด้วยในฐานะผู้ต้องสงสัยว่าสมคบคิดในแผนบุกชิงตัวนักโทษประหารร่วมกับท่านจีโน่ ในฐานะลูกน้องคนสนิท

…สุดท้ายข้าก็ยังคงเป็นคนอ่อนแอที่ต้องให้ท่านคอยปกป้องอยู่ดี…

…เซธ…โรซาริน่าหนาวมากไหม?…

.

.

        …ระหว่างความหนาวเย็นของอากาศกลางทะเลในเขตภูเขาน้ำแข็งในน่านน้ำโรซาริน่า…เมื่อเทียบกับความเย็นยะเยือกของใบมีดโลหะซึ่งกรีดผ่านเนื้อหนัง ตลอดจนกระสุนของเพื่อนพ้องราชนาวีซึ่งเจาะทะลุแทรกเข้ามาในร่าง…

        …จะเป็นเหงื่อเย็นเยียบจากความกลัว…หรือหัวใจเต้นรัวสะท้านจนร่างกายเย็นวาบชาไปทั้งร่างจรดถึงปลายนิ้ว เมื่อกลิ่นอายของความตายค่อยๆคืบคลานเข้ามา…

…สิ่งใดเล่าที่เหน็บหนาวกว่ากัน…

แล้ว…ความเหน็บหนาวแห้งผากของหัวใจข้าตอนนี้เล่า…

.

.

………………………………………….

        งานศพของเรือเอก จีโน่  แองเจโลนี่ ถูกจัดอย่างเงียบเหงาท่ามกลางคนสนิทซึ่งมาร่วมงานเพียงไม่กี่คน ข้าไม่นึกโทษใคร ในเมื่อในกรมราชนาวีเองมีข่าววงในที่ปิดกันให้แซ่ด ถึงสาเหตุการตายของท่านจีโน่ ไหนจะความผิดฐานลอบช่วยนักโทษประหารหลบหนี…ไม่นับข่าวความสัมพันธ์ลับๆของท่านจีโน่ที่ติดต่อกับกลุ่มโจรสลัดอีก ไม่ว่าใครก็กังวลว่าตนจะติดร่างแหในการสอบสวนคดีนี้ไปด้วยทั้งนั้น

        ข้าได้แต่ปิดการรับรู้ทั้งหมดทั้งมวล…ในเมื่อท่านจีโน่มอบความไว้วางใจให้กับข้า…ข้าก็จะทำในสิ่งเดียวกัน…ไม่ว่าจะถูกผู้อื่นมองว่าอย่างไร…

        ภาพที่ข้าลืมไม่ได้มีเพียงภาพที่ตนแอบเห็นในเงามืดของอาคารในวันนั้น

…คำถามซึ่งข้าไม่มีโอกาสได้ถาม…

        …สิ่งใดเล่าที่ท่าน…รังเกียจมากกว่ากัน ระหว่าง…การหลอกใช้ของคนใกล้ชิด…กับการทรยศต่อความภักดีของท่านจากคนในกรมราชนาวี…

สิ่งหนึ่งที่ข้าอยากให้ท่านมั่นใจ แม้ท่านในตอนนี้จะไม่อาจรับรู้สิ่งใดได้อีกแล้ว นั่นคือ…

…แม้ว่าข้างกายท่านจะไม่เหลือผู้ใด ท่านจะยังมีข้า…

…แม้ว่ากายท่านจะอยู่บนโลกนี้หรือไม่ ท่านจะยังคงมีชีวิตสถิตอยู่ในหัวใจและความทรงจำของข้า…

…จูบครั้งที่สาม…

…สัมผัสครั้งสุดท้าย…ความคิดคำนึงถึง ที่ท่านไม่มีวันได้รับรู้…

        มือขาวซีดสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่อยู่เอื้อมปลายนิ้วไปเขี่ยปอยผมซึ่งละปรกอยู่ตรงหน้าผาก ทันทีที่สัมผัสอีกฝ่ายปลายนิ้วก็สะดุ้งถอยออกมาเล็กน้อย…เพียงความเย็นเยียบที่ปลายนิ้วสัมผัสถูกร่างอีกฝ่าย…ความเย็นนั้นก็แผ่ไปทั่วร่างจนลมหายใจสะดุดทันที…

        จากนี้…ไม่ว่าจะเป็นความหนาวเย็นในแบบใด หัวใจอันเหน็บหนาวและแห้งผากของข้า จะไม่รับรู้ความรู้สึกเหล่านั้นอีกต่อไป นับตั้งแต่วันนี้…ที่ริมฝีปากของข้าน้อมรับเอาคำสาปสาบานนี้ จากกลีบปากเย็นเยียบสีซีดจางและไร้ชีวิตของท่าน…

…ลูก้า โมโรนี่! ผู้ที่ปล้นเกียรติยศแห่งท่าน  ข้าจะเป็นคนปลิดชีวิตมันด้วยมือของข้าเอง…

.

.

………………………………………….

        เสียงพายุหิมะด้านนอกถ้ำเงียบลงแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่ข้าก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าข้าคงเพิ่งเผลองีบหลับไป เป็นความฝันอันยาวนานที่คิดถึง…ทุกๆครั้ง…ในความฝันมักเป็นฤดูฝน…ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ตอนใด หยดน้ำใสพิสุทธิ์จากฟากฟ้าจะกลั่นตัวโปรยปรายลงมากระทบดวงตาและใบหน้าข้าเสมอ และยังคงทิ้งร่องรอยไว้ในยามที่ลืมตาตื่น

        …ความเจ็บปวดซึ่งไม่อาจเอื้อนเอ่ยหรือกรีดร้องออกมาให้ใครได้ยิน…แต่ถึงจะเจ็บปวดเพียงใดข้ายังอยากจะฝันถึง เมื่อทุกครั้งที่ฝัน…ข้าได้พบกับท่าน…

…เจ็บ…แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีความสุข…

…สุข…จนแทบไม่อยากจะลืมตาตื่นขึ้นมาจากความเจ็บด้วยซ้ำ…

        ข้ามองแถบโลหะสลักชื่อในมือเป็นครั้งสุดท้ายก่อนวางมันลง ทับลงไปบนแผนที่แผ่นใหญ่ซึ่งถูกเติมเต็มส่วนที่เว้นว่างด้วยมือของตนจนครบ

        …รายละเอียดของแนวทิวเขาและหุบเขาใหญ่น้อยของโรซาริน่าเป็นภาพสุดท้ายที่ข้าเพิ่งทำมันจนเสร็จไม่กี่วันมานี้เอง…

        ข้าทนอยู่ในกรมราชนาวีได้เพียงไม่นาน ก็ตัดสินใจออกทะเล ดินแดนซึ่งถูกเว้นว่างบนแผนที่แผ่นนั้นค่อยๆถูกใส่รายละเอียดลงไปทีนะนิดทีละน้อย จากการล่องไปกับเรือลำนั้นลำนี้ในตำแหน่งลูกเรือรับจ้าง ไม่ว่าจะเรือพาณิชย์ หรือแม้แต่เรือโจรสลัดที่ข้าเคยโกรธเกลียดเคียดแค้น

        เมื่อได้สัมผัสผู้คนก็เริ่มเข้าใจ แต่ละผู้คนมีที่มาที่ไป เรื่องราว และเหตุผลของเส้นทางชีวิตที่แตกต่างกัน ไม่ต่างจากข้า…ในกลุ่มโจรชั่วก็มีคนดี ในกลุ่มราชนาวี พ่อค้า ชาวเมืองก็มีคนมักมาก เข่นฆ่า ใฝ่หาอำนาจไม่ต่างกัน…

        …เกือบสิบปีที่เติบโตมากขึ้นในโลกกว้าง ข้าได้ถูกเกลียวคลื่นและลมทะเลชะล้างและพัดพาความกราดเกรี้ยวในใจไปจนเกือบหมดสิ้น… แต่ถึงอย่างนั้น ข่าวคราวของ ลูก้า โมโรนี่ และ เดรญ่า ชามาล ที่เข้าหูมาก็ยังเหมือนหนามซึ่งถูกฝังรากลึกค้างคาอยู่ในหัวใจซึ่งพร้อมจะเจ็บปวดทุกครั้งที่ได้ยินข่าว

        ทุกครั้งที่ขึ้นฝั่ง ข่าวสารถูกรวบรวมและส่งถ่ายเปลี่ยนมือไปมาให้กับผู้ซึ่งต้องการมัน เครือข่ายสายข่าวทั้งเก่าใหม่ถูกถักทอโยงใยเชื่อมต่อถึงกันในทุกพื้นที่ ชื่อเสียงของสายข่าวมือดีที่รู้จักกันด้วยชื่อสั้นๆในวงการว่า ‘เซธ’ ยังพอมีเครดิตและติดหูผู้คนอยู่บ้าง แม้จะไม่ค่อยออกหน้าออกตาพบปะผู้ซื้อข่าวโดยตรงนักก็ตาม ด้วยเบื้องหน้าข้าก็ยังบอกกับทุกคนว่าข้าเป็นเพียงพ่อค้าธรรมดาๆ ซึ่งขึ้นเรือสินค้าล่องไปมานำสินค้าต่างๆจากเมืองนั้นมาขายเมืองนี้…

        ความฝันในวัยเด็กที่เคยคิดว่าถูกฉุดคร่าทำลาย บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความฝันอันใหญ่กว่า…

        …ความต้องการที่จะได้…ล้างแค้นให้พ่อและลูกเรือทั้งหมดบนเรือเอเดรี่ยน…

        …ความใฝ่ฝันที่จะได้เป็นคนพรากลมหายใจสุดท้ายไปจาก…ลูก้า โมโรนี่… คนผู้หนึ่งซึ่งมีบางสิ่งเหมือนกับข้า…คนผู้ซึ่ง…ได้รับลมหายใจต่อมาจากซากศพของคนที่รักเรา…

        …คำถามหนึ่งที่ข้าอยากเอ่ยถามลูก้า…เจ้าใช้ชีวิต…ทดแทนให้ผู้ที่จากไปคุ้มค่าแล้วรึยัง…

เกียรติยศของคนผู้หนึ่งซึ่งถูกทำลายลงที่เชวาเลียในตอนนั้น…เจ้า…ชดใช้ให้เขารึยัง…

.

.

………………………………………….

        “ตามหาอะไรอยู่เหรอ?”

        …คำถามที่ ซอนริญ่า เบคแกร์ สายข่าวของลิเวียธานถามข้าในวันที่ได้พบกันครั้งแรก จุดรอยยิ้มกวนอย่างไม่ใส่ใจนักบนใบหน้าข้า…หากแต่ผลของมันหยั่งรากลงไปในหัวใจของข้าทีละนิดทีละน้อย

…ไม่มี…

        ถ้าวันหนึ่งจู่ๆ…ข้าเกิดได้รับข่าวการตายของ ลูก้า โมโรนี่ และเดรญ่า ชามาล ล่ะ…จากนี้ชีวิตของข้าจะเหลืออะไรให้ตามหาอีก…ร่างซึ่งมีเพียงลมหายใจ มีเพียงความต้องการแก้แค้น ไร้หัวใจ ไร้ความรู้สึก… วันนั้นข้าคงเป็นเหมือนเรือซึ่งลอยลำอยู่ท่ามกลางทะเลที่ไร้คลื่นลม…ชีวิตคงเคว้งคว้างไร้ทิศทางที่จะไป…

        เบคแกร์ ผู้ซึ่งข้าเรียกสั้นๆว่า ‘เบค’ หรือบางครั้งก็ ‘บี’ นับเป็นหญิงสาวผู้มีโฉมงามสะคราญเลื่องชื่อนางหนึ่ง หากแต่เสน่ห์ของนางในสายตาข้ากลับเป็นความฉลาด เข้มแข็งองอาจจนน่าทึ่ง ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าชายชาตรีอกสามศอกแต่อย่างใด นั่นทำให้ข้าไม่แปลกใจเลยเมื่อมารู้ในภายหลัง…ว่าบีไม่ใช่สายข่าวธรรมดา แต่นางเป็นถึงรองกัปตันของกลุ่มกองเรือโจรสลัดชื่อเสียงโด่งดังซึ่งถูกขนานนามว่า ‘ลิเวียธาน’ กลุ่มโจรสลัดผู้มีอำนาจครอบคลุมจากเหนือสุดของน่านน้ำโรซาริน่าลงมาจรดคอนเกรสติโอนาโด้ และซิลเวอร์วินด์…

“บางที…สิ่งที่เราวิ่งตามหาอาจอยู่ใกล้กว่าที่คิด”

เป็นสิ่งที่ ‘บี’ เป็นคนบอกกับข้า

“ไม่คิดหรือว่าถ้ามาอยู่ในจุดสูงสุดของโรซาริน่าแล้ว จะมองเห็นได้ชัดกว่าใครทั้งหมด”

        รอยยิ้มของนางในตอนนั้น ไม่ใช่รอยยิ้มที่อ่อนโยนปลอบประโลม หากแต่ทำให้จิตใจของข้ารู้สึกถึงความสงบ…ใช่…บางที…ข้าอาจจะมองข้ามบางสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวไป…ถึงแม้จะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร…กับเป้าหมายของชีวิตที่ข้าเองก็ยังไม่รู้ แต่ในใจกลับเริ่มรู้สึกกลับมาตื่นเต้นมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เหมือนเห็นแสงรำไรของความหวังที่ปลายอุโมงค์

…วันหนึ่งข้าคงจะตามหามันพบ…

.

.

        ข้ายืนมองสมบัติล้ำค่าในหีบเหล็กใบใหญ่ซึ่งถูกปูรองไว้ด้วยแผ่นหนังกันน้ำและความชื้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปิดหีบใบนั้นลงสลักกุญแจ แล้วกลบโพรงที่ผนังหลังถ้ำด้วยหิมะที่เริ่มจับตัวกันเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ไม่ช้าฤดูกาลจะทำให้เกล็ดหิมะเหล่านี้ละลายและจับตัวรวมกันเป็นก้อน หลอมรวมหีบใบนี้ประทับตรึงไว้กับผนังด้านหลังของถ้ำแห่งนี้

…เซธ…โรซาริน่านี่หนาวมากไหม?…

  ….ไม่หนาวหรอกครับ…เพราะท่านจะมีข้าอยู่เคียงข้างคอยโอบกอดท่านไว้…

…ถ้ามีสมบัติล้ำค่า ข้าอยากจะเอาไปซ่อนไว้ในภูเขาน้ำแข็งซักแห่งในโรซาริน่า เจ้าว่าดีไหม?…

        ข้าหันมองกลับไปทางปากถ้ำ ลุกขึ้นเก็บรวบรวมข้าวของสัมภาระที่ติดตัวมา ไม่จำเป็นต้องมีสิ่งใดเหลือไว้ติดตัวอีก ในเมื่อในความทรงจำของข้า บุคคลอันเป็นที่รักจะยังคงมีชีวิตอยู่ในนั้นตลอดไป มีชีวิตอยู่ในทุกลมหายใจของข้า อยู่เคียงข้าง อยู่เป็นกำลังใจให้ ความเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึง จะเป็นเครื่องเตือนให้ข้าได้รู้ว่า…ข้ายังมีชีวิตอยู่…ยังหายใจอยู่บนโลกใบนี้

        ข้าเคยคิดว่าพ่อใจร้าย ที่ทิ้งข้าไว้เบื้องหลัง บนโลกอันว่างเปล่าใบนี้…ถ้าพ่อไม่เกลียดข้า…ทำไมพ่อถึงไม่พาข้าไปด้วย ทำไมทิ้งข้าเอาไว้เบื้องหลังให้เจ็บปวดอยู่เพียงลำพัง แต่ตอนนี้ข้าว่าข้าเข้าใจความรักแบบนั้น

        หากเป็นไปได้ ข้าก็อยากเป็นคนที่ตายลงที่ลานประหารในวันนั้นแทนท่านจีโน่…เพียงความหวังเล็กๆ…เพียงอยากให้คนที่ตนรักได้พบกับความสุขในชีวิตเท่านั้น…ต่อให้ต้องแลกกับสิ่งใด แม้แต่ลมหายใจของตนเอง…มันก็ทัดเทียมและคุ้มค่าที่จะแลกมา…

        ข้าเดินก้าวออกไปด้านนอกปากถ้ำ พายุหิมะด้านนอกกลับมาโหมหนัก แต่ก็เบาลงกว่าเมื่อหลายชั่วโมงก่อนมาก อย่างน้อยก็ยังเผยให้เห็นเส้นทางซึ่งสามารถเดินลัดเลาะขึ้นไปบนยอดเขาได้

        เบื้องหน้าเป็นเพียงทางเดินแคบๆซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะหนา เลยถัดทางเดินออกไปเป็นหุบเหวอันสูงชันจนมองลงไปไม่เห็นก้นเหว

.

.

        ข้าบ่ายหน้าออกเดินไต่ตามทางเดินแคบๆขึ้นไป โดยมีจุดหมายอยู่ที่ยอดเขา ลมหายใจสีขาวเป็นควันเบื้องหน้าของตน คือลมหายใจซึ่งผู้เป็นที่รักเสมือนพ่อแท้ๆหยิบยื่นมาให้เป็นครั้งสุดท้าย…ที่ทิ้งไว้เบื้องหลังคือของดูต่างหน้าของผู้มอบชีวิต…ความหวัง…และความฝันอันใหม่ลงในซากร่างไร้ชีวิตที่ไวท์ทาวน์…ที่เหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าแต่ละก้าวย่าง คือโลกซึ่งครั้งหนึ่งเคยเวิ้งว้าง ว่างเปล่าไร้ความหมายสำหรับข้า

        ภาพที่มองเห็นจากบนยอดเขาในโรซาริน่าแตกต่างออกไปจากหน้าต่างในห้องทำงานบานนั้น ถัดจากหิมะซึ่งปกคลุมพื้นดินออกไปไกล เป็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่สีคราม มีกองเรือหลากหลายลำวางกำลังปกคลุมไปทั่วอาณาเขตน่านน้ำ ศูนย์กลางกำลังคือเรือสลัดลำใหญ่ที่ชักใบเรือสีแดงเข้มทอดสมอลอยลำอยู่อย่างสง่างาม

        …ราชินีแห่งน่านน้ำโรซาริน่า…ลิเวียธาน…

ข้ายืนมองแสงอาทิตย์อันสาดส่องต้องใบเรือสีแดงเลือดนกนั้น ไม่รู้ตัวเลยว่ารอยยิ้มถูกระบายลงบนใบหน้าตนอย่างเงียบๆ

…คำสัญญาซึ่งข้ามอบให้กับรองกัปตันแห่งลิเวียธานเมื่อหลายวันก่อน…

        “ได้! บี เสร็จธุระข้าจะมารอท่านที่ท่าเรือโรซาริน่า…จากนี้ไป…ลิเวียธานจะเป็นครอบครัวใหม่ของข้า…และฐานะของข้า…คือลูกเรือธรรมดาคนหนึ่งของลิเวียธาน…”

************************************************************

[RP] Side Story 03 : “ข้าคือ…” Part 2 : …ผู้ที่ห่างไกลออกไปทุกที…

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของคอมมู

 RP Banner

 สังกัด

 LV Banner

[RP] Side Story 03 :

“ข้าคือ…” Part 2 : …ผู้ที่ห่างไกลออกไปทุกที…

Rating : 16+ (มีคิสซีนนิดหน่อย)

Word count : ประมาณ 6,203 คำ

Characters : เซธเซ่, ลูก้า (โคสตอรี่ไว้), จีโน่ (คาร์ NPC โคสตอรี่ไว้กับลูก้า)

Author’s Note : อันนี้เป็นการนำผลงานเก่า “ข้าคือ” จากคอมมูเดิม มารีไรท์ใหม่ โดยตอนแรกว่าจะแบ่งเป็นประมาณ 3 พาร์ท แต่ละพาร์ท พยายามให้จบในตัวเป็นตอนๆไปค่ะ แต่เนื่องจากวางธีมไว้ยาว พอมาตัดแบ่ง บางฉากอาจงงๆว่ามีมาทำไม ถ้าอ่านครบจนจบ หลายๆฉากที่ว่าจะมีสตอรี่เล่าเรื่องบางอย่างอยู่นะคะ จะค่อยๆต่อเนื่องคลี่คลายกันไปเรื่อยๆเอง อาจจะงงๆนิดหน่อยในช่วงแรก เพราะเดินเรื่องแบบนึกย้อนกลับไปกลับมาในอดีตบ้าง ปัจจุบันบ้าง ถ้าอ่านแล้วมีคอมเม้นท์แนะนำตรงไหนก็ยินดีนะคะ ขอบคุณที่อ่านด้วยค่ะ ^^

…………………………………………………………………………

[RP] Side Story 03 :

“ข้าคือ…” Part 2 … ผู้ที่ห่างไกลออกไปทุกที…

        กองไฟตรงหน้าเริ่มอ่อนแสงลงเมื่อเชื้อฟืนที่มีเริ่มมอดลงเรื่อยๆ อากาศหนาวเย็นจากพายุหิมะซึ่งไม่มีวี่แววว่าจะหยุดทางด้านนอก เริ่มกล้ำกรายเข้ามาภายในถ้ำบนเทือกเขาสูงอันหนาวเหน็บแห่งนี้มากขึ้นทุกทีๆ

        ร่างชายหนุ่มภายใต้เสื้อคลุมขนสัตว์ตัวหนา นั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่ชิดผนังถ้ำด้านหลังของกองไฟ ใบหน้าขาวซีดราวกับหิมะยามต้องแสงไฟดูราวกับรูปสลัก…มีก็เพียงลมหายใจฟุ้งเป็นควันขาวเบื้องหน้าของเขาเท่านั้น ที่ทำให้รู้ว่า…ร่างตรงนี้ยังมีชีวิตอยู่… ดวงตาเข้มสี อเมทิสต์จ้องมองเปลวไฟตรงหน้าไม่กระพริบราวกับกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด

.

.

…นี่ข้ากำลัง…มาหาเรื่องตายโง่ๆอยู่รึเปล่านะ…

…ทั้งๆที่… ให้สัญญาไว้แล้ว…

ดวงตาสีม่วงเข้มปิดลงลงเบาๆ…เพียงเพื่อให้ภาพในความทรงจำแจ่มชัดขึ้น

.

.

………………………………………….

        หลังจากคืนนั้นที่ข้าได้แยกกันกับท่านจีโน่ เราก็ไม่มีโอกาสได้พบกันอีกเลย แม้ว่าข้าจะไปขลุกตัวช่วยงานในโรงแรมของเคจบ่อยขึ้นก็ตาม

        ข้าไม่ได้ปริปากบอกใครถึงความรู้สึกแปลกๆอันค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละนิด ในการเฝ้ารอข่าวคราวของเขา ทุกครั้งที่ได้ข่าวเรื่องของท่านจีโน่ ข้าก็มักจะดีใจ อารมณ์ดีไปทั้งวัน พอข่าวคราวห่างหายไปข้าก็มักรู้สึกเหงาๆเศร้าๆ

        …ชีวิตอันเคยแห้งผาก…ปลิดปลิวลอยหมุนคว้างไปตามกระแสลมแห่งโชคชะตา… รู้สึกตัวอีกที…ข้าก็เป็นดั่งขวดเหล้าเปล่าบนยอดคลื่น…ซึ่งถูกลมทะเลจับโยนขึ้นลงตามใจอย่างควบคุมสิ่งใดไม่ได้เลย…

…ควบคุมไม่ได้…แม้แต่หัวใจของตัวเอง…

        แม้ว่าข้าในตอนนั้นจะยังไม่สามารถเข้าใจ ไม่รู้ถึงความหมายของมัน หากแต่ข้ากลับรับรู้ได้ถึงก้อนเนื้อที่เต้นหนักหน่วงอยู่ในอกยามดีใจ… รับรู้ได้ถึงลมหายใจเข้าออกร้อนผ่าวของตัวเอง ยามรู้สึกโดดเดี่ยว…

        …ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่…ที่ข้า…ได้กลับมา…มีชีวิตอีกครั้ง…

        หลังจ่ายหนี้ค่าสินค้าคืนให้โดมินโก้จนหมด ชีวิตของข้าก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แม้ว่าข้าจะยังคงต้องทำงานในร้านเหล้า และกินอยู่หลับนอนในโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ตาม หากแต่ในร่างกายอันซูบผอมมอซอนี้กลับมีสิ่งเล็กๆซึ่งค่อยๆเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น…

…ข้าเรียกสิ่งนั้นว่า…ความหวัง…

        เวลาช่วงที่ว่างจากการทำงานและช่วยงานเคจ ข้าใช้มันในการอ่านหนังสือสำหรับเตรียมตัวเข้าสอบที่โรงเรียนเตรียมทหาร… ข้าอยากเป็นราชนาวีผู้ซึ่งต่อสู้กับพวกโจรชั่ว…เป็นราชนาวี…ซึ่งเหมือนกับท่านจีโน่…เพื่อออกตามล่าโจรสลัด และกวาดล้างพวกมันให้หมดสิ้น

        …แต่ทว่า…มันก็เป็นได้แค่ความคิดสวยหรูของเด็กโลกสวยอย่างข้าเท่านั้น…

.

.

“ไม่ผ่าน! คนต่อไป!”

        พลทหารซึ่งคุมการรับสมัคร ขานผลการคัดเลือกเสียงดังต่อหน้าข้าซึ่งยืนอึ้งอยู่ โดยไม่แม้แต่จะเหลือบแลมองมาเป็นหนที่สองด้วยซ้ำ

“ด่ะ…เดี๋ยวก่อนสิครับ ข้า…ข้ายังไม่ได้ทำข้อสอบหรืออะไรเลยนี่!?”

ข้าร้องถามขึ้นทันที ทั้งตกใจทั้งผิดหวังจนทำเอาตั้งตัวไม่ติด

“ผอมกะหร่องอย่างเจ้าเนี่ยนะจะมาเป็นทหาร จะไปสู้รบอะไรกับใครเขาไหว กลับบ้านไปซะไอ้หนู”

        “ให้ข้า…ได้โปรดให้ข้าเข้าสอบก่อนเถอะ ไม่ว่าจะเป็นสอบข้อเขียน หรือทดสอบเรื่องกำลังกาย ขะ…ข้ามั่นใจว่าข้าทำได้แน่ ได้โปรดด้วยเถอะครับ!”

        ข้าคุกเข่าลงก้มหัวให้กับพลทหารผู้นั้น ไม่มีอะไรต้องอาย ไม่มีศักดิ์ศรีใดๆ สำหรับข้าเพื่อให้ได้มาซึ่งผลที่ต้องการ จะให้ข้าทำสิ่งซึ่งน่าอับอายกว่านี้ข้าก็จะไม่เกี่ยง

มีเสียงจึ๊ปากอย่างไม่พอใจเบาๆจากเจ้าหน้าที่ท่านนั้น

“ข้าบอกให้ไสหัวไ…”

“น่าสนุกดีนี่… ‘เซธเซ่ นาบอแรค ซวอร์แซค’  งั้นเหรอ?”

เสียงหนึ่งขัดขึ้นมาก่อนเจ้าหน้าที่ท่านนั้นจะเอ่ยปากไล่ข้าอีกครั้ง…เสียงซึ่งไม่ได้ยินมานานมาก จนข้าคิดว่าตนคงหูฝาดไป…

        “ลองให้เจ้าเด็กนี่สอบก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ เอาเป็นว่าถ้าเจ้านี่สอบผ่าน…ให้มันเข้าหน่วยข่าวของข้าก็ได้…ข้าอยากได้คนที่หน้าตาไม่เหมือนมีคำว่า ‘ราชนาวี’ แปะอยู่กลางหน้าผากน่ะนะ”

        นายทหารหนุ่มพูดเสียงดังฟังชัดหากแต่น้ำเสียงกลั้วขำ ก่อนยัดใบสมัครของข้าซึ่งถูกโยนทิ้งใส่กองใบสมัครของผู้ไม่ผ่านการคัดเลือก ใส่มือเจ้าหน้าที่รับสมัครอีกครั้ง หากแต่เมื่อข้าเงยหน้าขึ้นมอง…ใบหน้าซึ่งมีรอยยิ้มขำออกจะเจ้าเล่ห์นิดๆนั่นก็กำลังก้มมองมาที่ข้าอยู่ก่อนแล้ว

.

.

………………………………………….

        จะว่าไป…ด้วยภูมิประเทศอันเป็นเทือกเขาสูงชัน และภูมิอากาศอันหนาวเหน็บอย่างโรซาริน่า ไม่แปลกเลยหากมันจะถูกเรียกเป็นดินแดนลึกลับที่ถูกปิดตายจากโลกภายนอก ในสายตาคนทั่วๆไป โดยเฉพาะคนจากทวีปอื่น

        …คงเพราะแบบนี้…ภูเขาน้ำแข็งแห่งโรซาริน่าถึงได้กลายเป็นสถานที่ในฝันของใครบางคนซึ่งต้องการจะนำสมบัติมีค่ามาฝังไว้…

.

.

“เซธ…โรซาริน่านี่หนาวมากไหม?” คนเปรยถามยังคงทอดสายตาจับอยู่บนผืนหนังขนาดใหญ่บนโต๊ะทำงานซึ่งถูกนำมาทำเป็นแผนที่

        เมื่อไม่ได้คำตอบเรือเอกจีโน่ แองเจโลนี่ ก็เงยหน้าขึ้นมองลูกน้องคนสนิทซึ่งนั่งทำงานอยู่ด้วยกันแต่ห่างออกไปอีกฟากหนึ่งของห้อง แม้จะรับรู้ได้ถึงสายตาที่จับจ้องมา แต่ข้าก็ยังคงง่วนอยู่กับการอ่านเอกสารซึ่งถูกวางกองกันจนเป็นตั้งสูงที่อีกฟากหนึ่งของห้อง สายตาข้ากวาดมองเอกสารในมือซึ่งเป็นข่าวสารของการปล้นฆ่ายกลำเรือพาณิชย์ในแถบน่านน้ำตอนใต้โดยฝีมือโจรสลัดอย่างสนใจ

        ข้อดีของการได้เป็นทหารฝึกหัด สังกัดหน่วยข่าวกรองของท่านจีโน่ข้อหนึ่ง ก็คือการได้ใช้แหล่งข่าวของราชนาวีเพื่อควานหากลุ่มโจรสลัดที่บุกปล้นและฆ่ายกเรือในค่ำคืนนั้นบนเรือเอเดรี่ยน…บ้านหลังเดียวที่ข้าเคยรู้จัก…

        แม้จะเป็นเหตุการณ์ซึ่งผ่านมาเกือบ 2 ปีแล้ว แต่ทว่ารอยแผลกรีดลึกในความทรงจำของข้ายังคงอยู่…ความรู้สึกเจ็บแปลบในอกทำเอาลมหายใจสะดุด…ทุกครั้งที่นึกถึงพ่อ…

        พอพักเงยหน้าเพื่อสูดหายใจเข้าลึก สายตาข้าก็ประสานสายตาเข้ากับดวงตาสีชาอ่อนของอีกฝ่ายที่มองมาพอดี…ดวงตาสีชาอ่อนโยนที่เหมือนอ่านใจข้าออก…แล้วก็เป็นข้าที่เป็นฝ่ายเลี่ยงหลบสายตาคู่นั้น เสมองหน้ากระดาษในมืออีกครั้ง ด้วยไม่อยากให้อีกคนรู้ถึงความคิดซึ่งอยู่ในหัวตนตอนนี้…

        …คงเพราะท่านจีโน่คือคนๆเดียว ที่ข้าไม่ต้องการให้เห็นความอ่อนแอในตัวข้า… ข้าไม่ใช่คนเดียวกับเจ้าเด็กกำพร้าผอมกะหร่องเมื่อ 2 ปีก่อน ที่จะถูกไอ้ขี้เมารุมซ้อมในร้านเหล้าง่ายๆอีกต่อไปแล้ว…ไม่ใช่เด็กหนุ่มอ่อนแอ ผู้ถูกปฏิเสธการรับเข้าสอบเป็นทหาร และไม่ต้องการเป็นเพียงลูกน้องผู้ไร้ความสามารถ ที่เอาแต่ซุกอยู่ใต้ปีกอันอบอุ่น และคอยพึ่งพาให้ท่านจีโน่ต้องปกป้องอีกต่อไป…

        ต่อให้อยากจะอ้อนขอความสงสาร ความเห็นใจ แม้แต่ความรักจากอีกฝ่ายแทบขาดใจ แต่ที่ข้าต้องการมากที่สุด…สิ่งสำคัญที่สุดที่กำลังพยายามทำให้ได้ก็คือ…

…ข้าอยากยืนเคียงข้างท่านจีโน่ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ซึ่งเป็นที่พึ่งพาและปกป้องเขาได้ต่างหาก…

        “ท่าน…ถามข้าว่ามากไหมเหรอ?…สำหรับข้าคงตอบว่าไม่มาก เพราะข้าชอบอากาศเย็นๆอยู่แล้วน่ะครับ แต่ท่านจีโน่ไม่ชอบอากาศเย็น ถ้าไปก็คง…ได้แข็งเป็นตุ๊กตาหิมะ”

        ข้ากลั้นยิ้ม นึกภาพอีกฝ่ายนั่งตัวกลมขาวอยู่ท่ามกลางพื้นหิมะกว้างสุดลูกหูลูกตาไปด้วย สายตาจึงเงยกลับมาจับบนใบหน้าอีกฝ่ายประกอบการจินตนาการ

        คนฟังถึงกับเบ้ปากทำหน้าแบระใส่ ข้ามองอยู่ครู่ก่อนจะหลุดหัวเราะขำใบหน้านั่นเบาๆ นึกสนใจเรื่องที่ทำให้อีกฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมา จึงวางเอกสารที่ยังไม่ได้อ่านในมือแยกไว้ทางหนึ่ง แล้วลุกขึ้นเดินไปยืนด้านข้างผู้บังคับบัญชาตน

        มองตามสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังสนใจอยู่บนโต๊ะ ก็เห็นแผนที่ขนาดใหญ่ ซึ่งขนาดของมันกินพื้นที่โต๊ะทำงานของผู้เป็นนายไปแล้วกว่าครึ่ง

แผนที่นั้นยังไม่สมบูรณ์นัก โดยเฉพาะรายละเอียดน่านน้ำและภูมิประเทศทางตอนเหนือ

…พื้นที่ในอาณาเขตของโรซาริน่า…

        คิ้วข้างหนึ่งของข้าเลิกขึ้นเล็กน้อยขณะปรายตามองไปยังผู้ซึ่งยืนอยู่ด้านข้างตนเป็นเชิงถาม

        “เดินเรือเข้าไปลำบากด้วยใช่ไหม?..เห็นคนเดินเรือบอกว่ามีอุปสรรคมาก ต้องได้ต้นหนที่มีฝีมือจริงๆ หรือไม่ก็คนท้องที่จึงจะสามารถเดินเรือผ่านเข้าออกน่านน้ำแถบนั้นได้…จริงรึเปล่า? ไหนเจ้าเคยเล่าว่าสมัยอยู่เรือพาณิชย์กับพ่อ เจ้าเคยไปค้าขายแถบโรซาริน่า? โม้สินะ?”

        คนถามยังคงร่ายยาวเหมือนไม่สนใจจะให้คำอธิบายใดๆเพิ่มเติมเพื่อไขข้อข้องใจในสิ่งที่ข้าถามมากนัก เมื่อคำถามถูกถามมารัวๆจนข้าอึ้งตอบไม่ทัน ข้าจึงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหลุดขำ

        “ไม่ได้โม้น่า… พ่อข้าเคยเล่าให้ฟัง…ว่าน่านน้ำแถบนั้นเต็มไปด้วยปราการธรรมชาติ อย่างภูเขาน้ำแข็งใต้ทะเล และแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ รวมทั้งช่วงระยะเวลาซึ่งสามารถเดินเรือเข้าออกได้สะดวกในแต่ละปีก็ไม่มากนัก” ข้าหยุดมองคนฟังยิ่งคุยก็ยิ่งสงสัย

“ท่านจีโน่ไม่ถูกกับอากาศเย็นไม่ใช่เหรอครับ ทำไมนึกอยากรู้ล่ะ?”

…หรือว่าท่าน…อยากเดินทางไปที่นั่น?…

        ข้าได้แต่คิดตามแต่ก็ไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบอะไร เมื่ออีกฝ่ายยิ้มเจ้าเล่ห์แต่ไม่ยอมตอบอะไรจริงๆ…ข้าเอื้อมแขนผ่านหน้าอีกคน วางนิ้วยาวของตนลงบนแผนที่บริเวณที่ยังขาดรายละเอียดทางฝั่งตะวันตกของโรซาริน่าก่อนอธิบายลงรายละเอียดเท่าที่พอจำได้จากสิ่งซึ่งลุงลอเรนซ์…ต้นหนผู้เก่งกาจของเรือเอเดรี่ยนเป็นผู้สอนข้า…

        “ทะเลแถบนี้ที่ต่อลงมาจากแนวภูเขาน้ำแข็งของโรซาริน่าเป็นน้ำแข็งเกือบตลอดปี ยกเว้นช่วงหน้าร้อน ช่วงที่ร้อนจัดๆ แต่การจะเดินเรือเข้าไปก็ยังลำบากอยู่ดี เพราะน้ำแข็งที่ละลายไม่หมดบางส่วนก็กลายเป็นภูเขาน้ำแข็งใต้ทะเล ต้องอาศัยคนพื้นที่ซึ่งชำนาญในการคาดคะเนรูปทรงของภูเขาน้ำแข็ง เพื่อไม่ให้มันครูดเข้ากับท้องเรือน่ะครับ…ไหนจะแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ลอยมากระแทกตัวเรือได้ทุกเมื่อตามแต่สภาพคลื่นลมอีก…”

        ข้ากำลังจะร่ายต่อแต่ก็ชะงัก เมื่อหันมาสบสายตาตื่นเต้นเป็นเด็กๆของอีกฝ่ายยามเมื่อมีเรื่องสนุกให้สนใจ เห็นแล้วก็อดยิ้มขำใบหน้าของเขาในตอนนั้นไม่ได้

        “ดีเลย…ถ้ามีสมบัติล้ำค่า ข้าอยากจะเอาไปซ่อนไว้ในภูเขาน้ำแข็งซักแห่งในโรซาริน่า เจ้าว่าดีไหม?”.

.

.

        แววตาสดใส กับรอยยิ้มของท่านจีโน่ที่เต็มไปด้วยความฝันถึงการผจญภัย และชีวิตอิสระภายใต้ท้องฟ้าครามและท้องทะเลในตอนนั้น กลายเป็นสิ่งล้ำค่าซึ่งข้าเฝ้าเก็บถนอมไว้ในความทรงจำ

.

.

………………………………………….

“เอ้า! ถ้าจะมานั่งถอนหายใจให้เปลืองอากาศแบบนี้กลับกรมฯไปดีกว่ามั้งเซธ”

        เคจบ่นไล่ข้ากลายๆ แต่ข้าก็ไม่ได้นึกโกรธ จะว่าไปนางคงเบื่อกับการนั่งตบยุงเป็นเพื่อนข้าที่ชวนออกมานั่งจิบเหล้าเงียบๆ แต่ดันเอาแต่นั่งถอนหายใจกระมัง

        “เจ้าเป็นราชนาวีนะเซธ ไม่ใช่พระ ถ้าเจ้ารักเขา มีอะไรอยากจะทำ ก็ไปทำเถอะไป” เคจเอ่ยพลางกลั้นขำ “ทำที่หัวใจเจ้าต้องการ”

        คงเพราะเคจเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก สิ่งที่ข้ากำลังว้าวุ่นอยู่ ต่อให้ไม่ต้องปริปากก็เหมือนทางนั้นจะดูออกจนทะลุปรุโปร่ง ข้ายกแก้วไวน์ขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด จนเคจมองค้อนอย่างนึกเสียดายไวน์ ตามวิธีการดื่มอันไร้สุนทรีย์อย่างที่ข้าเพิ่งทำไป

“…แล้วถ้าเขาไม่ได้รู้สึกดีกับสิ่งที่ข้าทำล่ะ?”

        ข้ารู้ตัวว่าใบหน้าตนเริ่มร้อนวูบขึ้น และน่าจะแดงขึ้นเรื่อยๆทั้งด้วยฤทธิ์แอลกอฮอร์ และอย่างอื่นที่อยู่ในหัวตอนนี้…

“กับคนที่มารักเราน่ะ ไม่มีใครเกลียดอีกฝ่ายลงหรอกนะ ยกเว้นว่าเขาจะมีเหตุผลบางอย่าง…บางทีก็ต้องเสี่ยงดวงเหมือนกัน”

        เคจคงมองเห็นเด็กหนุ่มผู้อ่อนหัดไม่ประสีประสาเรื่องความรักตรงหน้านางยังดูลังเลไม่มั่นใจกระมัง นางจึงเอื้อมมือมาตบบ่าข้าเบาๆ

“ข้าจะบอกเมจิกเวิร์ดให้เจ้าเเล้วกัน…ให้โอกาสเขาในการตัดสินใจ…แต่อย่าปล่อยมือจากเขา” หล่อนยิ้ม “บางทีก็ต้องเจ้าเล่ห์หน่อย”

“พูดเหมือนจะทำได้ง่ายๆเลยนะครับ ทุกวันนี้ข้ายังเป็นฝ่ายโดนเขาปั่นหัวอยู่ตลอดเลย”

“ฮะฮะ ก็บอกเขาไปซี่!!”

“…ให้ข้าบอกอะไรเขาล่ะ?”

“บอกไปว่าเจ้ารู้สึกยังไงบ้าง…”

        รอยยิ้มอ่อนโยนของเคจช่วยให้ข้าใจชื้นขึ้นมาก ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องยกมือขึ้นมาบังหน้า ด้วยเริ่มรู้สึกกระดากอายมากขึ้นทุกทีๆ

“..จะดีเหรอครับ..บอกไปเลย..เขาเองก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะสนใจอะไรข้าซักหน่อย”

“หาโอกาสทำเถอะ ถือว่าซื้อบัตรเข้าชมการแสดง ไม่อย่างนั้นเจ้าก็จะไม่มีสิทธิ์อะไรเลย”

        …บทสนทนากลับมาสู่ความเงียบอีกครั้ง…นางคงรอให้ข้าตัดสินใจอะไรๆด้วยตนเองเช่นทุกที เพราะเคจไม่ใช่คนชอบบังคับ หรือบงการชีวิตของใคร…ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ข้ารู้ดี…

        “ข้า…ข้า…จะลองดู…ขอบคุณมากนะครับเคจ”

        พูดจบข้าก็ลุกขึ้นยืนโค้งลาสตรีเจ้าของโรงแรมผู้ให้คำปรึกษาซ้ำๆอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะพาร่างซึ่งร้อนรุ่มในอกจนแทบมอดไหม้วิ่งเต็มฝีเท้ากลับไปทางกรมราชนาวี

…ที่ห้องทำงานว่างเปล่า…

…ที่คอกม้า…ก็ไม่อยู่…

        …ข้าวิ่งหาคนที่คิดถึงไปทั่วจนเหนื่อยหอบ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความร้อนใจของข้าลดลงเลย สอบถามจากนายทหารคนอื่นถึงรู้ว่าคนที่ต้องการพบที่สุดในตอนนี้กลับคฤหาสน์ไปแล้ว

.

.

        …คฤหาสน์ของตระกูลแองเจโลนี่ เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ถามหาได้ไม่ยากนักในเมืองไวท์ทาวน์ เนื่องจากตระกูลแองเจโลนี่เป็นตระกูลนายทหารชั้นผู้ใหญ่ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในหมู่ผู้สูงศักดิ์และชาวเมือง…นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้มาที่คฤหาสน์ของท่านจีโน่…

        ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานผู้หนึ่งเป็นผู้ออกมาต้อนรับ พ่อบ้านประจำตระกูลเชื้อเชิญให้แขกผู้มาเยือนยามวิกาลเข้าไปพบท่านจีโน่ในห้องนั่งเล่น หลังจากแจ้งชื่อข้าให้ผู้เป็นนายตนทราบแล้ว

“เข้ามาสิ… ทานอะไรมาหรือยัง ในครัวมีซุปอยู่นะ”

        ภาพตรงหน้าทำเอาใจข้าหล่นวูบ เมื่อเจ้าของเสียงคุ้นเคยที่เอ่ยเชิญมีเฝือกใส่ดามไว้ที่ขาข้างหนึ่งซึ่งถูกวางพาดกับเก้าอี้รองขาตัวเล็ก โดยเจ้าตัวก็ยังคงนั่งทำงานเอกสารบนโต๊ะต่อไปอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก

      ข้าตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินเข้าไปหาท่านจีโน่ ทั้งๆที่เมื่อตอนบ่ายก่อนข้าจะออกเวรแยกจากมา ท่านจีโน่ยังแข็งแรงเป็นปกติดีอยู่แท้ๆ

“เกิดอะไรขึ้นครับ?” หัวคิ้วสองข้างของข้ามุ่นเข้าหากันแทบจะทันที

“แค่อุบัติเหตุนิดหน่อยตอนฝึกขี่เจ้าม้าตัวแสบน่ะ” คนเจ็บยิ้มให้เหมือนจะบอกว่าไม่ต้องห่วง

        “แล้ว…คนอื่นๆไปไหนกันหมดครับ?” ข้าเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อมองไปรอบๆแล้วตระหนักได้ว่าแทบไม่พบใครในคฤหาสน์หลังนี้เลยตลอดทางที่เดินเข้ามายังห้องนั่งเล่น

…ทำไม…ไม่มีใครอยู่คอยดูแลข้างๆเขาเลย…ในเวลาที่บาดเจ็บ…

        “พวกเขาติดงานน่ะ ตอนนี้มีข้าอยู่คนเดียว” สุ้มเสียงที่ตอบบ่งบอกถึงความไม่ใส่ใจใดๆอย่างเห็นเป็นเรื่องเคยชิน

“ข้าจะทำยังไงกับท่านดี…” ข้าหลุดพูดพึมพำออกมาแผ่วเบาราวกับพูดอยู่กับตัวเอง

        อารมณ์ร้อนใจที่อัดแน่นสะสม ถูกเปลี่ยนกลายเป็นความโกรธ…ร้อนระอุจนแทบจะได้ยินเสียงหัวใจตนเองกระโดดออกมากรีดร้อง ยิ่งคิดถึงภาพอีกฝ่ายตอนบาดเจ็บ แต่ตนไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นก็ยิ่งเจ็บ…เจ็บ…ที่ไม่สามารถทำอะไรให้ได้เลย…โกรธ…ตนเองที่ไร้ค่าสำหรับคนตรงหน้าทั้งที่หลงรักจนแทบบ้าอยู่อย่างนี้…

“จะทำให้ข้าห่วงท่านจนเป็นบ้าให้ได้ใช่ไหมครับ ถึงจะพอใจ?”

ข้าขึ้นเสียงใส่คนเจ็บอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

        “…..ข้าก็ไม่ได้อยากทำให้ตัวเองเจ็บตัวสักหน่อย…”

        อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างงงๆ คงนึกแปลกใจว่าทำไมตนถึงต้องเป็นฝ่ายที่ถูกโกรธใส่ แต่ข้าในเวลานั้นก็ถูกความรู้สึกมากมายถาโถมจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว…

        …ตอนที่คนผู้นี้บาดเจ็บ…ข้ามัวแต่ไปอยู่ที่ไหนกันนะ…นั่งดื่มเหล้าอยู่ที่ไหนสักแห่งงั้นเหรอ?…แล้วตอนที่เขาถูกพาไปโรงหมอ ตลอดจนพามาส่งที่นี่ล่ะ?

        …ที่ผ่านมาความพยายามฝึกฝนเพื่อให้ตนแข็งแกร่ง และเป็นที่พึ่งพาให้อีกฝ่ายได้จะมีประโยชน์อะไรหากสุดท้าย…ก็ยังปกป้องดูแลเขาไม่ได้อยู่ดี…

“ขอมากไปไหมครับ ถ้าจะนึกถึงข้าบ้างเวลาเดือดร้อนหรือกำลังลำบาก? อย่างน้อยส่งข่าวบอกข้าบ้างก็ยังดี…”

        …ไม่ใช่ไม่รู้…ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ผิดอะไร แต่ก็อดเสียใจและน้อยใจไม่ได้…ที่สุดท้าย…ข้าก็เป็นเพียงเด็กขี้แยในร้านเหล้าคนเดิมไม่ต่างจากหลายปีก่อนในสายตาของท่านจีโน่…นึกน้อยใจในความไร้ค่าที่ตนเป็น…

        “…ก็ตอนนั้นมันดึกมากแล้ว พวกเราก็เพิ่งแยกกันไปด้วยนี่ แล้วนี่ก็ยังไม่ทันจะข้ามวัน” คนที่โดนข้าใส่ไม่ยั้งยังหลุบตาลงอยู่อย่างนั้นอย่างใจเย็น

        …ไม่ใช่ไม่รู้…ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์จะไปตีโพยตีพายใดๆ…หากแต่ตอนนี้มันหยุดความรู้สึกที่พรั่งพรูออกมาเป็นคำพูดร้ายๆใส่อีกฝ่ายไม่ได้…

        ความรู้สึกท่วมท้นที่อยากจะมาบอก…ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วว่าจะยอมรับการปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม…แค่อยากมาบอก…ว่า ‘รัก’ …หากแต่ความน้อยใจในความไร้ค่า ไม่เคยอยู่ในสายตาอีกฝ่ายนั่นต่างหากที่ข้าไม่ได้เตรียมใจไว้เผื่อ…

.

.

ข้าไม่รู้ตัวว่าพล่ามอะไรออกไปอย่างไร้การควบคุมบ้าง…รู้ตัวอีกทีก็เมื่ออีกคนตวัดสายตาคมกริบมามองหน้า

“เจ้ามาที่นี่เพื่อยืนซักไซ้ข้าฉอดๆหรือไง?…”

        ราวกับถูกฝ่ามือตบหน้าจนได้สติ…ข้ายืนกัดริมฝีปากด้านในนิ่งพยายามดึงสติควบคุมตนเองกลับมาอีกครั้ง…เมื่อปรับอารมณ์ลงมาได้แล้วจึงไต่ถามอาการบาดเจ็บของอีกฝ่าย ก่อนช่วยพยุงพาไปนั่งบนพื้นบริเวณที่ปูผ้านวมนิ่มไว้ ให้หลังพิงกับม้านั่งตัวยาว ก่อนผละออกมายืนมองนิ่งในหัวเลื่อนลอยจนด้วยคำพูด…เพียงครู่หนึ่งก็ถูกคนเจ็บสังเกตเห็นเลยออกปากไล่

“จะยืนดูสภาพของข้าไปอีกนานแค่ไหน?…ถ้าไม่มีธุระอะไรก็กลับไปเถอะ”

ข้าขยับนั่งลงที่พื้นข้างๆหันหลังพิงม้านั่งตัวยาว…ใกล้จนไหล่ทาบชนกัน

“คืนนี้ข้านอนนี่ได้ไหม?”

คนข้างๆสูดลมหายใจเข้าลึก คงด้วยความหงุดหงิดเต็มที่ ก่อนจะพยายามทำสีหน้าให้ปกติอีกครั้ง

“ทำไมไม่มีเงินจ่ายค่าโรงแรมคืนนี้รึไง” คนข้างๆหันมายิ้มกวนใส่

        “พื้นที่ข้างๆท่านจีโน่ตะหากครับ ที่ข้ากำลังพยายามให้ได้มา…”

        พูดออกไปแล้วก็ลอบถอนหายใจเอนศีรษะวางพิงลงบนไหล่คนข้างๆนิดนึง “… ถ้าเจ้าของจะเห็นใจข้าบ้างก็คงจะดี”

อีกคนดูจะใจอ่อนลงเมื่อข้าหยุดก้าวร้าว และกลับมาเป็นเหมือนปกติอีกครั้ง

“เจ้าก็นั่งอยู่ข้างๆข้านี่ไม่ใช่เหรอ จะเอาทั้งข้างซ้ายข้างขวาหรือไง” คนพูดยิ้มขำ

แต่ข้าไม่ได้คิดจะโต้เถียงใดๆกลับ สายตามองมือคนที่อยู่ข้างๆ เลื่อนมือตัวเองไปวางลงด้านบนเบาๆ

        “ข้าไม่ใช่คนพูดเก่งหรอกครับ ข้าขอโทษถ้าทำให้ท่านรู้สึกไม่ดีในหลายๆเรื่อง แต่ข้าขออยู่ข้างๆท่านได้ไหมครับ ตราบเท่าที่ท่านไม่รังเกียจ”

คนเจ็บหลุบตามองมือตน มีแต่ความเงียบ…เหมือนว่าอีกฝ่ายจะนึกหาคำตอบไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง

“…แม้ว่าอยู่ตรงนี้แล้วเจ้าก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยก็ไม่เป็นไรเหรอ?”

       “ครับ อยากเจอ…วันนี้…อยากจะมาบอกท่านจีโน่ครับว่า…ไม่ว่าท่านจะทำอะไร ถึงข้าจะดีใจบ้าง หงุดหงิดบ้าง ท่านก็ทำเถอะครับ ไม่เป็นไร…ไม่ต้องเป็นคนสำคัญสำหรับท่านก็ไม่เป็นไร…แต่ข้าก็จะรออยู่ข้างๆ…ตรงนี้ล่ะครับ ไม่ไปไหนเผื่อเวลาที่ท่านต้องการ…”

ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรงกับสิ่งที่ตนตัดสินใจแล้วว่าจะทำ…

“ดูเหมือนข้าจะเลือกเวลามาพูดไม่ค่อยเหมาะเอาซะเลยนะครับ ว่ามะ?” ข้าฝืนยิ้มขึ้นนิด

คนเจ็บเองฟังแล้วก็ยิ้มบางเช่นกัน ก่อนเอนศีรษะพิงกลับมา

        “ข้าถือว่าเตือนแล้วนะ…ถ้าต้องเจ็บปวดทีหลังก็อย่ามาโทษกันล่ะ บอกตามตรงข้าไม่เชื่อหรอกนะรู้ไหม…ว่าคนที่ทำเพื่อคนอื่นแบบนั้นแล้วไม่อยากจะได้อะไรกลับคืนมาเลย มันจะมีอยู่จริงๆ”

        “ข้าก็ไม่เชื่อเหมือนกันครับ…แต่ถ้าข้าขอรับเท่าที่ท่านจะมอบให้ได้ พอจะตกลงกันได้ไหมครับ” รอยยิ้มบางถูกจุดระบายขึ้นบนใบหน้า

.

.

        ในคืนนั้นท่านจีโน่เอาแต่นิ่งเงียบ…แม้ไม่ได้ตอบรับ…ให้ความหวัง…หักหาญน้ำใจ…หรือปฏิเสธออกมาตรงๆ แต่อย่างน้อยทุกครั้งที่มองกลับไป ข้าก็ดีใจที่ครั้งหนึ่งได้เคยบอกความรู้สึกของตนให้อีกฝ่ายได้รับรู้…

.

.

        ช่วงที่ท่านจีโน่บาดเจ็บอยู่นั้น ข้าคงต้องสารภาพอย่างผู้ชายเลวๆคนหนึ่ง ว่ามันเป็นช่วงเวลาของความทรงจำซึ่งข้ามีความสุขที่สุดช่วงหนึ่งเลย…คฤหาสน์หลังนั้นซึ่งข้าเคยคิดว่ามันเย็นยะเยือกในความรู้สึก กลับเป็นที่ที่อบอุ่นที่สุด…ข้าชอบหาเวลาเข้าไปฝังตัวอยู่ในนั้น…ฝังตัวอยู่ข้างๆเขา…

        ข้ามักหอบงานจากห้องทำงานของท่านจีโน่ในกรมราชนาวีตามที่เขาสั่งมา กลับไปให้ที่คฤหาสน์ของเขาบ่อยครั้ง ห้องนั่งเล่นชั้นล่างถูกเปลี่ยนเป็นห้องทำงานชั่วคราวของท่านจีโน่ โดยมีข้าเป็นลูกมือคอยช่วยหยิบโน่นนี่อำนวยความสะดวกให้ ไปพร้อมๆกับทำงานด้านรวบรวมและสรุปข่าวสารจากภายนอกตามหน้าที่ของตนเอง

        ในขณะที่อาการขาของท่านจีโน่ดีขึ้นเรื่อยๆ หากแต่อาการที่ข้าเริ่มเป็นกลับหนักข้อขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน…อาการแพ้…แพ้คนตรงหน้า…แพ้ใจตัวเอง…อย่างเริ่มควบคุมไม่อยู่…ความรู้สึกอยากสัมผัสคนๆนี้ที่อยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้นทุกทีๆ…

        ไม่นานนักอาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายก็ค่อยๆดีขึ้น

“อยากออกไปข้างนอกไหม?” ดวงตาสีชาอ่อนกรอกมามองข้า ยิ้มมองพลางถอนหายใจ

“ท่านจีโน่อยากไปไหนล่ะครับ?”

        “เจ้าอยากไปไหนล่ะ วันนี้ข้าตามใจเจ้า…” คนพูดยิ้มนิดๆคงเพราะเห็นว่าข้าเอาแต่ขลุกอยู่ในห้องทำงานกับเขาทั้งวันแทบไม่ได้ออกไปไหนเลยล่ะมั้งในช่วงที่ผ่านมานี้ เลยคงอยากจะให้รางวัลข้าบ้าง…ข้าก็คิดเข้าข้างตัวเองเอาแบบนั้น

        “ตามใจให้ข้าเป็นคนเลือกเหรอครับ…แล้ว… ท่านจีโน่ล่ะครับ อยากไปไหน?”

มันช่วยไม่ได้ที่ข้าจะติดตามใจอีกคนอย่างไร้เหตุผลจนชิน ในเมื่อความสุขและรอยยิ้มของเขาคือสิ่งที่ข้าต้องการเห็นมากที่สุด

“…ทะเล”

        คนตอบหรี่ตาใส่ แกล้งตอบสถานที่ไกลจากตัวคฤหาสน์ไม่พอ แถมตอนนั้นยังเริ่มเข้าหน้าหนาวแล้วด้วย ใครที่ไหนมันจะไปเที่ยวทะเลช่วงอากาศแบบนี้กัน แต่ว่า…

“เอาสิครับ” ข้าพยักหน้านิดนึง พอขยับตัวทำท่าจะไปจริงนั่นล่ะอีกฝ่ายจึงรีบทักท้วง คิ้วได้รูปแต่ตกนิดๆขมวดเข้าหากันยุ่ง

“ล้อเล่นต่างหาก จะให้ข้าลงน้ำสภาพนี้หรือไง? แถมยังเป็นช่วงที่อากาศหนาวแบบนี้ด้วย”

        “…เสียดายจังครับ ข้าก็อยากไปทะเลอยู่เหมือนกัน ไว้หายแล้ว อากาศอุ่นขึ้นแล้ว…หาเวลาไปกันนะครับ” ข้าหันไปมองสบดวงตาสีน้ำตาลอ่อนๆนั้นนิ่ง…จดจำไว้คล้ายเป็นคำสัญญากลายๆ…

.

.

        …กว่าจะรู้…ว่าสำหรับท่านจีโน่…กรมราชนาวีเป็นแค่เพียงคุกหลังใหญ่อันหรูหราก็เป็นวันที่ข้าได้ยินข่าวการทำเรื่องขอออกไปสืบข่าวโจรสลัดที่ต่างเมืองจากปากของท่านจีโน่เอง

        ข้าเองไม่แน่ใจนัก ว่ารอยยิ้มที่มอบให้ไปในวันนั้นจะดูแปลกหรือเปล่า ข้าเก่งพอจะตบตา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นได้รึยัง…ท่านเชื่อข้าใช่ไหม…ว่าข้า…ยินดีไปกับท่านด้วยใจจริง…

“ขอกอดหน่อยได้ไหมครับ?”

        ทันทีที่อีกฝ่ายเอ่ยปากอนุญาต คงเพราะรู้ว่าจากนี้คงไม่ได้พบหน้ากันอีกพักใหญ่ ข้าก็โน้มตัวลงมารวบอีกคนเข้าไปกอดแน่น ใบหน้าซบลงบนบ่าของคนในอ้อมกอด

        แม้คนถูกกอดจะเหมือนสะดุ้งตกใจนิดๆ แต่ก็ยอมกอดกลับ มือที่เคยเย็นเพราะอากาศหนาวอยู่เสมอบัดนี้ลูบไปมาบนแผ่นหลังของข้าจนอุ่นอย่างปลอบโยน

“ขอจูบได้ไหมครับ?” คำถามแผ่วเบา ราวกับพยายามหลบซ่อนความประหม่าในน้ำเสียง ทำเอาอีกฝ่ายอึ้งไป ก่อนส่ายหัวขวับ

“จะเอาไปทำไมล่ะ…”

        ข้าถอนหายใจ หากแต่ยังไม่ยอมคลายวงกอด ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไม่ใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด อันที่จริงถ้าไม่ติดที่ข้ากำลังเศร้า เดาว่าคำตอบของอีกฝ่ายที่จะสวนมาคงแรงยิ่งกว่านี้มาก

        “รักครับ…ไม่รู้ว่าวันไหนจะเป็นวันสุดท้ายที่ได้บอก ไม่อยากเสียใจกับสิ่งที่ไม่ได้ทำเพียงเพราะไม่กล้าเอ่ยปากขอ…แต่ถ้าขอแล้ว ถึงจะถูกปฏิเสธไปบ้างก็ยังไม่ต้องรู้สึกเสียใจภายหลัง”

        รอยยิ้มเศร้าระบายบางๆบนใบหน้า ขณะคลายวงกอดผละร่างออกห่างจากกันเล็กน้อย เพื่อให้มองภาพของอีกฝ่ายได้เต็มตาขึ้น ข้าต้องการ…จดจำภาพใบหน้าบุคคลอันเป็นที่รักตรงหน้าไว้ในความทรงจำให้นานที่สุด

…เวลาที่ข้าจะได้ทำสิ่งต่างๆให้เขา…ได้อยู่ข้างๆเขากำลังจะหมดลงแล้ว…

.

.

…จูบกันครั้งแรก…

…เป็นคำขอร้องอย่างหน้าไม่อายของเด็กเอาแต่ใจอย่างข้า…

        ไม่รู้ว่าเป็นความสงสารหรือเป็นความเห็นใจ แต่คนเบื้องหน้าก็ยอมโน้มใบหน้าเข้าจูบแนบแน่นบนริมฝีปากของข้า ไออุ่นในสัมผัสซึ่งไม่ได้คาดคิดว่าจะได้รับ ทำเอาข้าได้แต่ยืนอึ้งไปชั่วขณะ ในขณะที่อีกฝ่ายหลุบตาลงหลังจากผละออก

“ขอโทษนะ…”

“ท่านจีโน่…ขอโทษข้า..เรื่องอะไรเหรอครับ?”

“…ก็เจ้าพูดว่ารัก ข้ารับความรู้สึกของเจ้าไว้ไม่ได้หรอก”

ข้ายืนมองอีกฝ่ายที่ยังหลุบตาลงต่ำทิ้งไว้แบบนั้น ยิ้มจางๆ

“ความรักของข้าก็เป็นของของข้าครับ ท่านจะรับไว้หรือไม่มันก็มีอยู่จริง…อย่าเอ่ยคำขอโทษข้าเลย”

“แต่ได้ยินแล้วก็เจ็บปวดใช่ไหมล่ะ? สำหรับข้า…เจ้าก็เหมือนเพื่อนคนนึง ไม่อยากทำให้เสียใจหรอก…”

…สิ่งที่ข้าคิดแต่พูดไม่ออกในตอนนั้น…

        ความเจ็บที่มากกว่าการถูกปฏิเสธ…คือรอยยิ้มของท่านที่ข้าละเลยจนทำให้มันจางหายไป…กว่าจะรู้ตัว…รอยยิ้มที่อีกคนเคยมีให้…ก็เปลี่ยนเป็นเสียงถอนหายใจ และใบหน้าบึ้งตึง ไม่ก็อึ่กอั่กทำอะไรไม่ถูก บางครั้งก็ดูเศร้าๆ…ทุกครั้งที่ข้าสัมผัสท่านเกินกว่าคำว่าเพื่อน…ทั้งๆที่…แค่อยากเห็นท่านมีความสุขแท้ๆ…

…มองไปยังใบหน้าอีกคนที่เอาแต่หลบสายตา…นี่ข้า…กำลังทำอะไรลงไป…

“ไม่ได้สังเกตเลยครับ ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่… ที่ท่านจีโน่แทบจะไม่ยอมมองหน้าข้าแล้ว”

ดวงตาซึ่งเริ่มจะร้อนผ่าวกระพริบช้าๆ แล้วเสมองไปทางอื่น

        “จะแค่มิตรภาพก็ได้ ผู้บังคับบัญชากับลูกน้องก็ดี แม้แต่แค่คนรู้จักก็ไม่เป็นไร ข้าขอรับเท่าที่ท่านจะให้ได้ก็พอ แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกของข้าก็ยังทำให้ท่านลำบากใจ…ข้าตะหากที่ควรเป็นฝ่ายขอโทษ”

        รอยยิ้มอ่อนที่มอบให้ แทนคำขอโทษด้วยใจจริง…มันเป็นความสับสน อยู่ในวังวนของความไม่เข้าใจ…ไม่รู้จริงๆว่าควรทำสิ่งใด ไม่ควรทำสิ่งใด…รู้แต่ว่า…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น…ก็ยังคง…รักคนผู้นี้อยู่ดี…

“เห็นแบบนี้ ข้าอดทนนะครับ…เพราะงั้น…ไม่ต้องกังวลหรอกครับว่าจะทำข้าเจ็บ”

“…อดทนก็ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บนี่” อีกฝ่ายท้วงออกมาเบาๆ

“มันขึ้นอยู่กับใครเป็นคนทำครับ…แล้วก็…เจ็บน่ะ…ไม่ได้แปลว่าไม่มีความสุขหรอกนะครับ”

        ยิ้มจางๆที่มอบให้ไป…ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจได้อย่างไร…หากมีสิ่งเดียวที่ร้องขอได้…ก็ขอเพียงการได้อยู่ข้างๆท่านเท่านั้น…ถึงจะต้องเจ็บต้องอดทนแค่ไหนก็ไม่เป็นไร…แต่แค่เพียงเท่านั้น…ก็ยังไม่สามารถได้มา….

.

.

        ในกรมราชราชนาวีเวลาที่ท่านจีโน่ไม่อยู่ มันดูเงียบเหงาว่างเปล่า…เหมือนชีวิตของข้าในอดีตที่เคยเป็นมาตามกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง…ชีวิตที่ข้าลืมเลือนไปนานมากแล้ว…

        ที่ผ่านมา แม้จะโดนเรียกว่าเจ้าทึ่ม โดนแกล้งแหย่ ถูกทำให้ดีใจ เศร้าใจ บางทีก็เจ็บ บางครั้งก็หัวปั่น แต่ทั้งหมดนั่นก็ทำให้ข้ากลับมามีชีวิตอีกครั้ง

        พอเหตุการณ์ผ่านเลยมาไกลจนย้อนกลับไปจนแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วนั่นแหละ ถึงเพิ่งได้คิด มองย้อนกลับไป…ข้าในตอนนั้นเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ได้แต่หลงลำพองคิดว่าตนเติบใหญ่แล้ว…ทั้งๆที่ดูแลตัวเองยังทำไม่ได้…ก็ยังกล้าจะเที่ยวไปบอกเขาว่า…จะเป็นคนดูแลเขา…มีแต่คำพูดสวยหรู…ว่าไม่หวังไม่ต้องการอะไรจากเขา สุดท้ายก็เอาแต่ฉกฉวยโอกาส จากความใจดีของท่านจีโน่ ทำแต่เรื่องกดดันให้เขาต้องลำบากใจไม่จบไม่สิ้น…ก็สมน้ำหน้าแล้วนี่…ที่วันหนึ่งก็ถูกเขาทิ้งไว้ข้างหลังจนได้…

        ช่วงเวลาที่คอยติดตามข่าวของท่านจีโน่อยู่ห่างๆ ข้าพยายามปรับเปลี่ยนตัวเองทีละนิดละน้อยจากความผิดพลาดที่มองเห็น แต่กบในกะลา ซึ่งไม่เคยรู้จักโลก ไม่รู้จักความรัก เคยแต่เป็นผู้รับมาตลอด สุดท้าย แม้จะพยายามเพียงใดก็ยังเติบโตได้ไม่ทันอีกฝ่ายอยู่ดี

.

.

        เมื่อได้ข่าวว่าท่านจีโน่กลับมาที่ไวท์ทาวน์ มันเหมือนความรู้สึกต่างๆแล่นปราดกลับมาในหัวใจอีกครั้ง เมื่อนึกถึงเวลาซึ่งจะได้พบหน้าท่านจีโน่อีกครั้ง ความรู้สึก…เหมือนต้นไม้แห้งใกล้ตายที่กำลังจะได้รับน้ำฝนหลังฤดูแล้ง…เหมือนเด็กอยากอวดสิ่งที่ตนทำ…อยากให้เห็น…ว่าโตขึ้นอีกนิดนึงแล้วนะ เป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้ว…มีความคิดขึ้นแล้ว…

…อยู่ที่ไหนครับ…ท่านจีโน่…

…ท่านอยู่ที่ไหน?…

        ภายใต้เงามืดของอาคารสลับซับซ้อนในตัวเมือง…ถึงจะเป็นเพียงแค่แว้บเดียวที่ปรายตาเห็น แต่เมื่อเป็นท่านจีโน่…ข้าก็จดจำเงาร่างนั้นได้เสมอ…หากแต่ร่างของอีกผู้หนึ่งซึ่งคุ้นตา แต่นึกยังไง ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน

        เด็กหนุ่มวัยเดียวกันกับท่านจีโน่ แต่ให้ความรู้สึกที่แตกต่าง…ผิวสีเข้ม ผมหยักเป็นคลื่นสีดำสนิท กับรอยยิ้มเห็นเขี้ยวชวนมอง หากแต่ในตอนนี้คนผู้นั้นช่างขัดหูขัดตาข้าเสียเหลือเกิน

        อาจจะเป็นเพราะ…ภาษากายของทั้งคู่ซึ่งบ่งบอกถึงความใกล้ชิดสนิทสนมกันจนข้าเจ็บแปล๊บในอก ไม่ว่าจะเป็นสายตาที่มองกัน หรือศีรษะที่เอนพิงกัน และฝ่ามือที่รั้งแขนอีกฝ่ายไว้ยามจะผละจาก…ข้าอยู่ไกลเกินกว่าจะได้ยินบทสนทนาของคนทั้งคู่ หากแต่สัญชาตญาณบางอย่างบอกให้ข้าหลบซ่อน ไม่แสดงตัวออกไปให้ทั้งสองคนพบเห็น ความดีใจที่ได้พบกันอีกครั้งกลับกลายเป็นความสับสน และสงสัย…ข้าเก็บความสงสัยนั้นไว้จนในที่สุดก็หลุดปากถามออกไป…

…ชายผู้นั้น…

…ลูก้า โมโรนี่…

…เป็นโจรสลัด…

…………………………………………………………………………

…To Be Continue… 

[RP] Side Story 02 : “ข้าคือ…” Part 1 : …ผู้ที่เข้ามา…

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของคอมมู

 RP Banner

 สังกัด

 LV Banner

[RP] Side Story 02 :

“ข้าคือ…” Part 1 : …ผู้ที่เข้ามา…

Rating : 18+ (ความรุนแรง)

Word count : ประมาณ 6,767 คำ

Characters : เซธเซ่, เดรญ่า (โคสตอรี่ไว้), จีโน่ (คาร์ NPC โคสตอรี่ไว้กับลูก้า)

Author’s Note : อันนี้เป็นการนำผลงานเก่า “ข้าคือ” จากคอมมูเดิม มารีไรท์ใหม่ โดยแบ่งเป็นประมาณ 3 พาร์ท แต่ละพาร์ท พยายามให้จบในตัวเป็นตอนๆไปค่ะ แต่เนื่องจากวางธีมไว้ยาว พอมาตัดแบ่ง บางฉากอาจงงๆว่ามีมาทำไม ถ้าอ่านครบจนจบ หลายๆฉากที่ว่าจะมีสตอรี่เล่าเรื่องบางอย่างอยู่นะคะ จะค่อยๆต่อเนื่องคลี่คลายกันไปเรื่อยๆเอง อาจจะงงๆนิดหน่อยในช่วงแรก เพราะเดินเรื่องแบบนึกย้อนกลับไปกลับมาในอดีตบ้าง ปัจจุบันบ้าง ถ้าอ่านแล้วมีคอมเม้นท์แนะนำตรงไหนก็ยินดีนะคะ ขอบคุณที่อ่านด้วยค่ะ ^^

…………………………………………………………………………

[RP] Side Story 02 :

“ข้าคือ…” Part 1 : …ผู้ที่เข้ามา…

        ภูมิประเทศทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองโรซาริน่า เป็นเทือกเขาสูงอันมีหิมะหนาเป็นฟุตปกคลุมไปทั่วบริเวณเกือบตลอดทั้งปี ยิ่งเป็นช่วงฤดูกาลนี้ ตลอดแนวสันเขามักถูกถาโถมด้วยพายุหิมะ จนทำให้การเดินทางทั้งยากลำบากและอันตรายมากเป็นพิเศษ

        แต่สำหรับใครบางคนยิ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครคาดคิดเช่นนี้ ก็ยิ่งเป็นช่วงเวลาซึ่งเหมาะกว่าช่วงเวลาใดๆ เมื่อเขาต้องการหลบเลี่ยงจากสายตาผู้คนดังเช่นตอนนี้ เพราะพายุหิมะอันหนาทึบนั้นจะเป็นดั่งเกราะกำบัง ซึ่งช่วยพรางตาไม่ให้ผู้ที่อาศัยอยู่แถบเชิงเขาสามารถมองขึ้นมาเห็นได้ มิหนำซ้ำปุยหิมะที่กระหน่ำตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา ยังช่วยพรางกลบลบรอยเท้าซึ่งเขาทิ้งไว้เบื้องหลัง จนยากที่ใครจะแกะรอยตามมาได้อีกด้วย

        ลมพายุซึ่งพัดโหมรุนแรงในหุบเขาด้านนอกปากถ้ำ ส่งเสียงดังหวีดหวิวยามตัดผ่านอากาศอันหนาวเหน็บ ฟังราวกับเสียงคมเคียวของมัจจุราชที่กำลังตวัดกวัดแกว่ง คร่าเอาดวงวิญญาณของนักเดินทางและนักผจญภัย ซึ่งพลัดหลงทิศทางติดอยู่ท่ามกลางพายุหิมะเช่นนี้ ไปคนแล้วคนเล่าอย่างไม่ปราณี

        หากแต่ร่างสูงโปร่งซึ่งนั่งห่อตัวสงบนิ่งอยู่ข้างกองไฟตรงกลางเวิ้งถ้ำซึ่งห่างจากปากถ้ำเข้ามาไม่มากเท่าไหร่ กลับไม่มีทีท่าหวาดกลัวแต่อย่างใด ทั้งที่เปลวไฟสีส้มตรงหน้าโหมกระพือตามแรงลมจากปากถ้ำ ซึ่งหอบพัดเอาไอเย็นเข้ามาเป็นครั้งคราว แต่ถึงกระนั้นจนแล้วจนรอดมันก็ยังไม่ยอมแพ้พ่ายดับลง ราวกับอัศวินหนุ่มผู้คอยคุ้มกันความหนาวเย็นไม่ให้กล้ำกรายเข้ามาใกล้ผู้เป็นนายของมัน ดวงตาสีม่วงเข้มของชายหนุ่มกำลังจ้องมองเหม่อลงไปที่ใจกลางของเปลวไฟตรงหน้าอย่างสงบนิ่งมานานหลายชั่วโมงแล้ว…

        ถ้าไม่นับเสียงลมที่ด้านนอก จะมีก็แต่เสียงปะทุของกิ่งไม้แห้งซึ่งถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงที่กำลังลุกไหม้ส่งเสียงแตกเปรียะๆ ตัดกับความเงียบสงัดภายในถ้ำแห่งนี้

…เงียบ…จนได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของตนเอง…

…เงียบ…จนได้ยินแม้กระทั่งเสียงร้องเรียกในความคิดของตนเอง…

…เซธ…

…เซธเซ่…

        …เสียงสะท้อนแผ่วเบาอันไร้ที่มา…มันอาจล่องลอยมาตามสายลม…หรือเป็นเพียงเสียงสะท้อนมาจากส่วนลึกด้านในของถ้ำซึ่งตนนั่งปักหลักอยู่ก็มิอาจรู้ได้…

…เซธเซ่…

        ชื่อที่แทบจะไม่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของใครอีกแล้ว… ยามนี้…ที่ทำได้ก็มีเพียงผินใบหน้าวางลงบนเข่าตน หลุบขนตาสีดำยาวลง…หลับตา…เพื่อเงี่ยหูฟังเสียงเรียกให้ชัดเจนขึ้น ด้วยหัวใจโหยหา อยากจะได้ยินเสียงของคนในความฝันที่เขาเฝ้าคิดถึง เข้ามากระซิบเพรียกใกล้ๆ ซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้เบื่อ

…เซธเซ่…

                     …เซธ…

…เซธเซ่…

        สุ้มเสียงที่ได้ยินมันดังก้องชัดเจนจนแทบแยกไม่ออกด้วยซ้ำ ว่ามีอยู่จริงหรือเป็นเพียงในความฝัน มันช่างคุ้นเคยเสียจนมิอาจห้ามของเหลวใสอุ่นที่รื้นขึ้นคลอหน่วยตา…ทั้งที่มันไม่ใช่ชื่อจริงๆของเขาเสียด้วยซ้ำ…แต่ไม่ว่ายามใดที่นึกถึงผู้ซึ่งมอบชื่อนี้ให้ แผงอกกว้างซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกอ้างว้างและว่างเปล่าจนหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ ก็ค่อยๆสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอของความอบอุ่น และความรัก…ซึ่งครั้งหนึ่งคนอย่างเขาก็เคยได้รับ…

.

.

………………………………………….

        …ข้าไม่เคยมีโอกาสได้รู้ว่าแม่เรียกข้าว่าอะไร…ข้าจดจำใบหน้าของนางยังแทบไม่ได้ แม้จะพยายามนึกให้ออกมากเพียงใด ทุกๆครั้งก็มีแต่เพียงภาพใบหน้าเบลอๆในม่านหมอกของความฝันเท่านั้น ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังรับรู้ได้…ว่านางเป็นหญิงสาวผู้งดงาม…ใช่…งดงาม…ราวกับเทพธิดาในนิทานซึ่งมีคนเคยอ่านให้ข้าฟัง…

        …แม่มักปรากฏตัวอยู่ในความฝันของข้าบ่อยครั้ง ตั้งแต่ข้ายังเป็นเด็ก…หญิงสาวผิวขาวดั่งหิมะ และผมยาวสลวยสีดำขลับ…ข้อมือกลมกลึงเนียนสวยราวรูปสลัก กุมข้อมือข้าในวัยเด็กไว้แน่นราวกับคีมเหล็ก นางฉุดลากร่างข้าซึ่งพยายามสาวเท้าตาม หากแต่ยังทำได้ไม่รวดเร็วทันใจนางนัก  จนตัวข้าแทบจะปลิวตามลงบันไดไปยังห้องเก็บสินค้าที่ท้องเรือ ร่างเล็กบางผอมโซของข้าถูกเหวี่ยงเข้าใส่มุมห้องตรงที่มีลังไม้กองสูงเกือบจรดเพดาน หลังของข้าฟาดเข้ากับลังไม้อย่างจัง ความเจ็บพลันแล่นปราดจนชาดิกไปทั้งร่าง พอขยับตัวได้ข้าก็ย่อตัวลงรวบขาตนเองมานั่งกอดเข่าแน่นอยู่ข้างลังไม้นั่นเพื่อข่มความเจ็บ

“…ฟังนะ…ข้าจะให้เจ้าซ่อนตัวอยู่ในห้องนี้ อย่าออกมาให้ใครเห็นเป็นอันขาด ถ้าเจ้าถูกจับได้ ข้าจะตีเจ้าให้ตายได้ยินไหม!”

        เสียงหวานปานระฆังเงินกระซิบกับข้า หากแต่น้ำเสียงดูหงุดหงิดเกรี้ยวกราดอย่างชัดเจน ถ้อยคำที่เด็ดขาดบ่งบอกให้รู้ว่า นางพร้อมจะทำตามที่พูดจริง หากคนตรงหน้าไม่เชื่อฟัง

        ข้าพยักหน้ารับคำ ยกหลังมือขึ้นปาดไล่น้ำตาซึ่งไหลอาบลงเปรอะข้างแก้มอันแดงช้ำ ริมฝีปากซึ่งมีเค้าได้รูปสวยบัดนี้บวมเจ่อและมีคราบโลหิตเกรอะกรังตามรอยแตก มันสั่นระริกในขณะพยายามเม้มแน่นบังคับไม่ให้มีเสียงสะอื้น

        …ข้ารู้ดี แม่ไม่ชอบให้ข้าดื้อ และนางเกลียดเสียงร้องไห้ของข้า แม่จะโมโหมากและเผลอตัวทุบตีข้าทุกครั้งเวลาข้าส่งเสียงรบกวน หรือขัดคำสั่งนาง…

        ภาพร่างเพรียวระหงหมุนปลายเท้ากลับไปทางบันไดยังติดตาข้า แม่ดูสง่างามราวกับเจ้าหญิงในงานเต้นรำ… แผ่นหลังเหยียดตรงก้าวห่างออกไปทุกทีๆ ย้อนกับแสงแดดที่สาดส่องลอดลงมาตรงปล่องบันได ทำให้แวบหนึ่งในใจ ข้ารู้สึกเหมือนได้มองส่งแม่กลับขึ้นสู่สรวงสรรค์ ในที่ซึ่งคู่ควรกับนาง

        ถึงแม้จะคิดแบบนั้น ข้าก็ยังอยากลุกวิ่งไปเกาะรั้งแม่ไว้ ถึงรู้ว่าจะถูกทุบตียังไง แม่ก็ยังเป็นสิ่งเดียวในโลกของข้า แต่ร่างกายของข้ากลับไม่ได้ขยับ คงเพราะลึกๆในใจ ข้ารับรู้ได้ว่าคนเบื้องหน้าไม่ต้องการจะเห็นหน้าข้าอีก

        โตขึ้นมาได้หน่อยข้าถึงได้คิด…หญิงสาวหน้าตางดงามผิวพรรณดีเช่นแม่ ย่อมต้องมีผู้สนใจหมายตา…เพียงแค่ไม่มีข้า…แม่ก็ไม่จำเป็นต้องทนทุกข์ อยู่อย่างอดๆอยากๆในขุมนรกอีกต่อไป…เพียงแค่ไม่มี…ตัวถ่วงอย่างข้า….

.

.

“…เซธเซ่?…หนูน้อย…เจ้าชื่อเซธเซ่ดีไหม?”

        …แม้มันจะไม่ใช่ชื่ออันแท้จริงของข้า แต่ข้าก็รักมัน เพราะผู้ที่ตั้งให้ และเรียกข้าด้วยชื่อนี้เป็นคนแรก คือคนที่ข้ารักมากที่สุด…คนที่…ไม่มีอะไรเลยที่เหมือนกับแม่…

        โจน่า นาบอแรค ซวอร์แซค เป็นชายวัยกลางคนชาวเซเรเนี่ยนผู้มีรอยยิ้มกว้างอันอบอุ่น เขาเป็นคนอุ้มข้าซึ่งตัวร้อนจัดด้วยพิษไข้จากห้องเก็บสินค้าที่ท้องเรือพาไปยังห้องพักของเขา ร่างเล็กที่มอมแมมราวกับหนูสกปรกตัวหนึ่งถูกวางลงบนเตียงนุ่มสะอาดอย่างเบามือ โดยเจ้าของเตียงกลับไม่แสดงทีท่าว่ารังเกียจเลยแม้แต่นิด ข้าวต้มร้อนๆถูกนำมาป้อนให้ถึงเตียง แม้จะรู้สึกฝืดเฝื่อนในลำคอ แต่ข้าก็กินมันเข้าไปจนหมดอย่างหิวโหย ด้วยความที่มันเป็นสิ่งแรกที่ตกถึงท้องข้าในช่วงหลายวันมานี้

        หลังจากหายไข้ ข้าก็เริ่มปรับตัวให้เข้ากับชีวิตใหม่บนเรือ ในขณะที่ลูกเรือคนอื่นๆพากันเรียก โจน่า ว่า ‘บอส’ แต่เขากลับขอให้ข้าเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ …คำเรียกซึ่งข้าไม่รู้จักความหมายของมันอยู่นาน…

        สิ่งที่ข้าเอาแต่คิด และได้แต่เสียใจที่ไม่เคยได้ปริปากบอกพ่อไปก็คือ…สำหรับข้า…เขาเป็นมากกว่าพ่อ… เขาเป็น…ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตข้า…

        แม้ไม่ได้ผูกพันกันทางสายเลือด แต่โจน่าก็เป็นยิ่งกว่าพ่อแม่แท้ๆ …เขาเป็นผู้มอบความรู้สึกแปลกใหม่ที่ข้าไม่คุ้นเคย…ความรู้สึกของการ…ถูกรัก…

        พ่อยังเป็นครูของข้าด้วย ท่านเป็นคนสอนข้าอ่านเขียนหนังสือ สอนการเดินเรือ สอนการสังเกตดวงดาว สอนงานเขียนแผนที่ สอนพื้นฐานการทำการค้าให้ ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกสินค้าคุณภาพดี จิตวิทยาการต่อรองราคา การจัดเก็บสิ่งของประเภทต่างๆให้คงสภาพอยู่ได้แม้จะอยู่ในท้องเรือที่อับชื้นเป็นเวลานานๆ รวมถึงการจัดสรรพื้นที่เก็บสินค้าต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพ

        …แต่สิ่งซึ่งพ่อไม่ได้สอนตรงๆหากแต่มันก่อตัวขึ้นทีละนิดในหัวใจเด็กน้อยอย่างข้า มันเรียกว่า…’ความฝัน’…

        เรือสินค้าซึ่งข้าถูกแม่นำมาปล่อยนี้ชื่อว่า ‘เอเดรี่ยน’ นางเป็นเรือสินค้าจากไวท์ทาวน์ซึ่งแล่นไปทั่วทุกมุมโลก สิบกว่าปีที่ข้าเติบโตขึ้นบนเรือ สินค้าแปลกตาที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ข้าเสมอ ไม่ว่าจะเป็น ลูกอินทผลัมรสหวานจัด องุ่นสด และไวน์ ไปจนถึงคริสตัลน้ำแข็งที่เลื่องชื่อ…ไม่ช้าการเสาะหาสิ่งของแปลกๆจากซีกโลกหนึ่งไปมอบให้กับผู้ที่ต้องการมันในอีกซีกโลกหนึ่ง…ก็ค่อยๆก่อตัวขึ้นจนกลายมาเป็นความฝันเล็กๆในวัยเด็กของข้า…

        แม้ว่าเมืองส่วนใหญ่ที่ข้าได้พบเห็นจะเป็นเพียงเมืองท่าซึ่งเรือของเราได้ไปเทียบท่าเท่านั้น หากแต่โลกใบนี้ก็ดูกว้างใหญ่ขึ้นมากสำหรับข้า ไม่ว่าจะเป็นดินแดนทะเลทรายทางตอนใต้ หรือดินแดนน้ำแข็งทางตอนเหนืออันขึ้นชื่อเรื่องความยากในการเดินเรือเข้าไปเทียบท่า แต่ไม่ว่าจะเป็นน่านน้ำที่อันตรายเพียงใด เรือของเราก็แล่นใบไปเทียบท่าได้เสมอด้วยฝีมือต้นหนเก่งๆอย่างลุงลอเรนซ์

        สิบกว่าปีที่ข้าได้เห็นมา ภยันตรายจากธรรมชาติไม่เคยได้ชัยชนะเมื่อเป็นการท้าทายจากลูกเรือเอเดรี่ยน…หากแต่อันตรายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น คือความโลภที่ฝังตัวอยู่ในจิตใจสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า…‘มนุษย์’…

        เสียงโห่ร้องและเสียงอึกทึกวุ่นวายจากดาดฟ้าเรือดังตามลงมาไม่ขาดสาย เสียงตะโกนโหวกเหวกเตือนภัยถึงการบุกปล้นของโจรสลัดเขตทะเลใต้ดังกระหึ่มในคืนหนึ่ง ขณะที่เรากำลังล่องเรืออยู่ในเขตน่านน้ำใกล้เมืองอัคซาเร…ระหว่างทางล่องเรือกลับไปยังไวท์ทาวน์

        …เป็นอีกครั้งที่ข้าถูกฉุดลากลงมาที่ห้องเก็บสินค้าใต้ท้องเรือ…แต่คราวนี้มือที่กุมข้อมือข้าแน่นจนชื้นเหงื่อเป็นมือของพ่อ…

        ริมฝีปากบางใต้หนวดซึ่งเคยปรากฏรอยยิ้มอยู่เสมอ บัดนี้ถูกเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรงบางเฉียบ เหงื่อชื้นผุดซึมเต็มใบหน้า สีหน้าของพ่อในเวลานี้เคร่งเครียดมากจนน่ากลัว แต่ข้ากลับไม่หลงเหลือความรู้สึกหวาดกลัวสิ่งใดเลยแม้แต่นิดเดียว…นั่นเพราะ…ข้ากำลังสติแตก…

        ภาพใบหน้าบิดเบี้ยวจากความเจ็บปวดของลูกเรือจำนวนมาก เสียงกรีดร้องโหยหวนทุกทิศทางไม่ว่าจะหันหน้าหนีไปทางไหน กอปรกับกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งในอากาศ…กลิ่นของความตาย…

“อึ่ก…ปล่อยข้า! ท่านพ่อ! ฮือออ…ฮือออ…ปล่อยยยย!! ข้าจะไปช่วยลุงเดรก! อึ่ก! ปล่อยข้า!”

        ข้าดิ้นรนส่งเสียงร้องขอดังก้อง หากแต่พ่อไม่ยอมเสียเวลาอันมีค่าแม้แต่วินาทีเดียวเพื่อหยุดฟัง….

.

.

        …ลุงเดรก หรือแดรกม่า เป็นลุงช่างไม้หน้าโหดหนวดเคราขาวเฟิ้มของเรือเอเดรี่ยน ผู้ซึ่งไม่เคยสนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ เขามักออกปากไล่ เวลาที่ข้าเข้าไปเล่นวุ่นวายใกล้ๆบริเวณที่เขาทำงานอยู่เสมอ แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่ข้าได้เรียนรู้การเหลาไม้เข้าลิ่มจากเขา เรียนรู้การตอกตะปู ทาสี และงานช่างอื่นๆ

        …รอยยิ้มหยันอันคุ้นตาที่มักซ่อนอยู่ใต้หนวดเคราเฟิ้ม บัดนี้ถูกกลบด้วยสีแดงฉาน จากลิ่มเลือดซึ่งอีกฝ่ายกระอักออกมา ก่อนร่างซึ่งนั่งพิงกาบเรืออยู่จะเอนล้มลงไปกับพื้นเรือโดยมีดาบโค้งปักเสียบอยู่ที่กลางหน้าอก…

        ข้ายกหลังมือปาดหยดน้ำบ้าๆ ต้นเหตุซึ่งทำเอาดวงตาของข้าพร่ามัวออก เพราะข้าต้องการจะเก็บภาพมันทุกผู้ ซึ่งบังอาจเหยียบย่ำลงบนชีวิตของผู้คนที่ข้ารัก และเรือที่ข้ารัก

        ข้าก้มลงกระชากดาบโค้งยาวที่ปักอยู่กลางหลังของร่างโจรสลัดคนหนึ่งมากุมไว้แน่น แม้เด็กหนุ่มอายุ 16 อย่างข้าจะยังเรียนรู้วิธีใช้เจ้าสิ่งในมือมาไม่มากนัก แต่ความมุ่งมาดที่จะใช้มันในตอนนี้กลับลุกโชนด้วยความคลั่งแค้น

        แต่ก่อนที่ข้าจะได้ลิ้มรสของการได้ฆ่า…มือของพ่อก็เข้ามาฉุดกระชากข้อมือข้า พาลากลงไปยังท้องเรือ…

.

.

        “เจ้าเข้าไปซ่อนในลังไม้นี่! เร็วเข้าเซธเซ่! แล้วอย่าออกมาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น! ได้ยินไหมเซธเซ่ เจ้าต้องฟังพ่อนะ! ได้ยินไหม!”

        สองมือแกร่งของพ่อจับบ่าทั้งสองข้างของข้าเขย่าอย่างแรงเพื่อเรียกสติ

        “…ถือเป็นคำสั่งของกัปตัน เซธเซ่! …และถือเป็น…คำขอร้องจากข้าในฐานะพ่อ!”

        ข้าซึ่งได้แต่ยืนนิ่งอึ้ง หูอื้อด้วยความโกรธและคลั่งแค้น ถูกพ่อบังคับจับนั่งในลังเปล่าแล้วตอกปิดทันที ก่อนจะถูกดันไปรวมกับลังสินค้าอื่นๆ…ลังไม้ซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวของข้าอยู่นั้นไม่ได้ทึบนัก

        ภาพฝันร้ายซึ่งข้าได้เห็นผ่านร่องระหว่างแผ่นไม้ในเวลาต่อมานั้น คือภาพใบหน้าของพ่อซึ่งมองตรงมาที่ข้า…แววตาอันสั่นไหวของพ่อในช่วงเวลาสั้นๆที่สบกัน ก่อนดวงตาซึ่งเคยปรากฏเป็นแสงสุกสว่างสดใสเต็มไปด้วยความฝันอันยิ่งใหญ่นั้น จะหรี่จนดับมอดลงไปในที่สุด

        …ดาบเล่มใหญ่ปักทะลุลงกลางอกผู้ซึ่งข้าเรียกเขาว่าพ่อ…มันเป็นดาบของโจรสลัดผมทองรูปร่างสูงใหญ่ ผู้ซึ่งข้าไม่มีวันลืมหน้าของมันได้ และชื่อของมันซึ่งข้าได้รับรู้ในเวลาต่อมาก็คือ…

        …เดรญ่า ชามาล…

.

.

        ข้าไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ในตอนที่โดมินโก้ พ่อค้าในตลาดมืดเมืองไวท์ทาวน์มาพบข้านอนสลบอยู่ในลังไม้นั่น เคราะห์ดีที่คนมาพบไม่ใช่พวกโจรสลัด หากแต่โดมินโก้เองก็ออกอาการหัวเสียอย่างแรง เมื่อพบว่าเขาชวดเงินมากมายที่จ่ายไปเป็นค่าสินค้าแต่กลับได้มาเพียงร่างเด็กชายผอมโซในลังไม้

        แม้ว่าการช่วยงานบนเรือพาณิชย์มาตลอดตั้งแต่เด็กๆ จะช่วยให้กล้ามเนื้อของข้าแข็งแรงเท่าที่เด็กวัยรุ่นอายุ 16 ปีโดยประมาณคนหนึ่งจะมีได้ แต่ด้วยโครงร่างอย่างชาวลาเอลทั่วไปที่มักออกไปทางสูงโปร่งเพรียวบางมากกว่าจะกำยำล่ำสันมีมัดกล้ามนั้น ทำให้มักถูกประเมินศักยภาพในด้านการใช้แรงงาน และพละกำลังต่ำกว่าความเป็นจริงอยู่มาก แถมมักจะถูกผู้คนดูแคลน และมองเป็นไอ้พวกเหยาะแหยะอยู่เสมอๆ แต่ทว่าในครั้งนี้สิ่งนั้นกลับเป็นข้อดี เพราะมันช่วยให้ข้ารอดจากการถูกนำไปค้าในตลาดค้าทาสได้ หากแต่ข้าก็ยังคงต้องทำงานหนักไม่ต่างจากทาสคนหนึ่งอยู่ดี เพื่อนำเงินมาชดใช้เป็นค่าสินค้าให้กับพ่อค้าตลาดมืดโดมินโก้

        ทุกๆวันข้าต้องทำงานให้กับร้านเหล้าแห่งหนึ่งในเมืองไวท์ทาวน์ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ โดยเงินค่าแรงทั้งหมดของข้าในแต่ละวันจะถูกจ่ายตรงเข้ากระเป๋าเงินของพ่อค้าโดมินโก้

        แม้ไม่มีเงินทองใดๆติดตัว แต่อย่างน้อย…ข้าก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่า ‘อิสรภาพ’…แม้ว่ามันจะหมายถึงการต้องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองให้ได้ด้วยก็ตาม

        นอกจากเศษอาหารซึ่งทางร้านแบ่งปันให้ข้าพอประทังชีวิตในแต่ละวัน โรงเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ตั้งอยู่เกือบนอกเมืองของไวท์ทาวน์ก็เป็นอีกที่พึ่งหนึ่ง ซึ่งข้าสามารถอาศัยเป็นที่กินอยู่หลับนอนได้ แม้ว่ารวมๆกันแล้วก็ยังไม่มากพอจะเติมเต็มความหิวของเด็กหนุ่มวัยกำลังเติบโตเช่นข้าได้…

        ด้วยร่างกายที่ผอมโซ…ข้าตื่นขึ้นมาในยามเช้า และทำงานอย่างหนักจนร่างกายแทบแตกดับก่อนจะหลับใหลไปในยามวิกาลวันแล้ววันเล่า…หัวสมองเมื่อขาดอาหารนานๆมันก็หยุดที่จะคิด…

        ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่ข้าหยุดคิดถึงความใฝ่ฝันที่มีในวัยเด็ก…ความฝันที่จะออกเรือเสาะหาสิ่งของแปลกๆจากซีกโลกหนึ่ง เพื่อไปมอบให้กับผู้ซึ่งต้องการมันในอีกซีกโลกหนึ่ง…เมื่อไม่มีสิ่งใดเป็นของตนเองอีกต่อไป…ความใฝ่ฝันนั้นก็ดูห่างไกลออกไปทุกที…ทุกที…

        …ชีวิตที่ไม่รู้ว่าจะมีพรุ่งนี้ไปทำไม ชีวิตที่ไม่เหลืออะไรบนโลกใบนี้ให้อาวรณ์…มีเพียงซากร่าง และลมหายใจที่ไร้ความหมายเพื่ออยู่ไปวันต่อวัน…

.

.

………………………………………….

        เสียงแตกปะทุดังเปรี๊ยะของกิ่งไม้ในกองไฟ ฉุดให้ผู้ที่จมอยู่ในอดีตกลับออกมาสู่โลกในความเป็นจริงตรงหน้าอีกครั้ง…ร่างสูงขยับยืดตัวขึ้นสูดหายใจเข้าลึก

        …จะมีประโยชน์อะไรกับการหวนนึกถึงความเศร้าในอดีต… ไม่ว่าจะผ่านอะไรมา…ลมหายใจของในวันนี้ตะหากเป็นสิ่งยืนยันว่า เรื่องเลวร้ายที่ถาโถมเข้ามาเหล่านั้น ไม่ได้หนักหนาเกินกว่าที่คนอย่างข้าจะก้าวข้ามมันมาได้… เพราะคิดแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ทุกครั้งที่ล้มลง ถึงต้องพยายามลุกให้เร็วแล้วก้าวไปข้างหน้ามาโดยตลอด ข้าจะไม่ยอมเสียเวลาหยุดนิ่ง หรือย่ำอยู่กับที่ ตีโพยตีพายอยู่กับอดีตที่แก้ไขไม่ได้…

        …ใช่…ข้าบอกกับตัวเองเสมอ…อดีตนั้น…แก้ไขไม่ได้…

        …ทว่าผู้ที่ยืนหยัดจนมีรอยยิ้มบนใบหน้าอยู่ได้ในทุกวันนี้…พวกเขาเหล่านั้นก็ใช่ว่าจะผ่านเรื่องราวร้ายๆมาอย่างไม่รู้สึกรู้สา ไม่รู้สึกเจ็บจนเจียนตาย หรือทนรับความเจ็บปวดในตอนนั้นได้อย่างเข้มแข็งด้วยตัวคนเดียวเสมอไป… ข้าเองก็เช่นกัน…ในวันที่เจ็บปวดจนเจียนตาย…มือของใครบางคนได้ยื่นมาตรงหน้า…

.

.

        ร่างอันเงียบงันซึ่งนั่งอยู่หน้ากองไฟ ขยับล้วงมือเข้าไป ตรงอกเสื้อข้างซ้ายของเสื้อโค้ทตัวในซึ่งตนสวมใส่อยู่ประจำ หากแต่บัดนี้ถูกคลุมทับอีกชั้นด้วยเสื้อขนสัตว์กันหนาวตัวหนา…แถบโลหะชิ้นเล็กๆ ถูกหยิบออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ทนั่น

        …ของชิ้นเดียวซึ่งถูกพกติดตัวใกล้กับตำแหน่งของหัวใจเกือบตลอดเวลา โดยเจ้าตัวไม่เคยปริปากบอกใคร มีเพียงในเวลาที่ตนอยู่คนเดียวเท่านั้นที่มักจะนึกอยากหยิบออกมาดู…

        นิ้วมือที่เย็นจนชาดิกแทบไร้ความรู้สึกพยายามลูบไล้ไปตามรอยลึก บนแถบโลหะรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งถูกหล่อและแกะเป็นป้ายชื่อติดหน้าอก ตามแบบแผนเครื่องแบบของราชนาวี

…‘ เรือเอก จีโน่  แองเจโลนี่’…

…ข้าเคยถามตัวเอง…ถ้าไม่ได้เจอกับท่านในวันนั้น…ข้าจะถอดใจหันหลังให้กับการมีชีวิตอยู่ไปแล้วรึเปล่านะ…

.

.

………………………………………….

ผัวะ!!!

        ฝ่ามือหยาบใหญ่ของคนท่องทะเลอย่างโชกโชนมาหลายปี เมื่อฟาดเข้าอย่างจังบนใบหน้าขาวซีดของเด็กหนุ่มวัยรุ่นผมดำ ร่างสูงแต่ติดจะผอมบางนั่นก็แทบจะปลิวลงไปกองกับพื้นตามแรงมือ ชายร่างยักษ์เจ้าของฝ่ามือหนาขยับก้าวพรวดเข้าไปขยุ้มคอเสื้อเด็กหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายแล้วกระชากให้เขาลุกขึ้นมาอีกครั้ง

“ม่ายใช่เจ้าแล้วจาครายยย ห๊ะ!! ฮิก!”

        ใบหน้าแดงก่ำและดวงตาฉ่ำเยิ้มของผู้พูด ประกอบกับกลิ่นเหล้าคละคลุ้งซึ่งปะปนออกมากับลมหายใจ บ่งบอกถึงระดับความเมามายได้ของเจ้ากะลาสีตัวเบ้งซึ่งกำลังเมาอาละวาดใส่พนักงานเสิร์ฟหนุ่มหน้าอ่อนของร้านเหล้าแห่งนี้

“ก็บอกแล้ว! ว่า..ข้า..ไม่..ได้..เอา..ไป..!!”

        เสียงเน้นหนักทีละคำพูดรอดไรฟันที่ขบแน่นจนสันกรามขึ้นนูน ก่อนจะกลายเป็นตะโกนด่าลั่นกลางร้านอย่างเหลืออด ผ่านริมฝีปากบางซึ่งบัดนี้ย้อมอาบด้วยโลหิตสีแดงเข้ม หากแต่ในตอนนี้มันกำลังชาจนแทบไม่รู้สึกถึงความเจ็บใดๆเลย

        ร่างของเด็กหนุ่มถูกเหวี่ยงอัดใส่โต๊ะเก้าอี้จนล้มระเนระนาดอีกครั้ง ยังไม่ทันได้ตั้งหลักใดๆ รองเท้าบู้ทหนังก็ตามเข้ากระทืบกลางท้องของอีกฝ่ายทันที ความเจ็บจนจุกพาให้ร่างนั้นงอขดเข้าหากันแน่น ผู้คนในร้านก็ได้แต่มองกันเงียบกริบ แม้จะคาดเดาได้เลาๆ ว่าน่าจะเป็นคราวซวยของเจ้าหนุ่มนั่นซะมากกว่าเป็นการลักขโมยจริงอย่างที่โดนกล่าวหา แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปขัดขวางหรือห้ามปราม

“ถุงเงินข้า…จู่ๆ ฮิก! มันจาหายปายได้ยังไงวะ!! ถ้าไม่ช่ายฝีมือ ฮิก! เด็กเหลือขอแบบพวกเอ็ง!!”

        เสียงด่าทอยังพรั่งพรูออกมาไม่ลดละ ปะปนกับเสียงของปลายรองเท้าหนังที่เตะอัดกับร่างซึ่งนอนน่วมสิ้นสภาพอยู่แทบเท้าดังเป็นจังหวะแน่นหนักต่อเนื่องไม่หยุด

        “อย่านึก.. ฮิก!..ว่าข้าม่ายรู้นะ เด็กเวรอย่างจ้าวววว มันไอ้พวกเด็กม่ายมีพ่อแม่คอยสั่งสอนช่ายไหมวะ ว่าขโมยของคนอื่นมานไม่ดีน่ะ.. ฮิก!”

        ทันทีที่ได้ยินคำด่าทอ ร่างบนพื้นซึ่งน่าจะสิ้นแรงขัดขืนไปแล้วกลับสั่นไหว ยามคุกรุ่นด้วยความโกรธ ดวงตาสีม่วงเข้มทอประกายวาวโรจน์ลุกโชนราวกับกองไฟที่โดนสาดน้ำมันเข้าใส่ ยิ่งไปกว่าความเจ็บทางกายคือการถูกย่ำยีพาดพิงถึงคนที่ตนรัก

        เรี่ยวแรงซึ่งไม่น่าจะมีหลงเหลือแล้วจากการยังชีพด้วยการอดมื้อกินมื้อมาพักใหญ่ กลับถูกความโกรธขึงดึงเอาพละกำลังจากไหนไม่รู้ พาร่างสะบักสะบอมโดดพุ่งชนอีกฝ่ายจนเสียหลักล้มลง แขนของเด็กหนุ่มกดเข้าที่บ่าร่างของลูกเรือขี้เมาซึ่งนอนหงายอยู่จนไหล่แนบพื้น ก่อนเป็นฝ่ายรัวหมัดใส่ใบหน้าอีกฝ่ายบ้าง เสียงร้องตวาดก้องขึ้น

“ไอ้สารเลว! ถอน..คำ..พูด..แกเดี๋ยวนี้!!”

        ทันทีที่เห็นเพื่อนพ้องตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ลูกเรืออีกสามสี่คนซึ่งนั่งหัวเราะดูเพื่อนตนอาละวาดอยู่แต่เดิมก็พากันผลุนผลันลุกขึ้นจากโต๊ะเข้ารุมทันที สองคนเข้าล็อคแขนเด็กหนุ่มจากด้านหลังกระชากให้ลุกออกจากที่นั่งคร่อมร่างเพื่อนตนเอาไว้ ในขณะที่กะลาสีขี้เมาที่เหลือผลัดกันเข้ามารุมอัดเข้าที่ชายโครงเด็กหนุ่มซึ่งถูกจับยึดไว้แน่นจากด้านหลัง

คืนนี้ดูท่าเจ้าหนุ่มนี่คงได้นอนกระอักเป็นลิ่มเลือดคาร้านแน่ๆ หากไม่มีคนผู้หนึ่งเข้ามาขัด

        “เฮ้อ…หยุดก่อความรำคาญให้คนอื่นได้แล้วมั้งนะพวกเจ้า ถ้ายังไม่อยากไปนอนในคุกกันคืนนี้น่ะ เมาแล้วอาละวาดทำร้ายร่างกายผู้อื่น…โทษมันไม่ใช่เบาๆหรอกนะ รู้ใช่ไหม?”

        ผู้ที่เข้ามาห้ามเป็นชายหนุ่มร่างสมส่วน ผิวค่อนข้างขาวเทียบกับชาวเซเรเนี่ยนทั่วไป ผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนนุ่มละท้ายทอยดูทะมัดทะแมง ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าท่าทางแสดงออกถึงความเบื่อหน่ายกับเหตุการณ์ตรงหน้าเต็มที หากแต่สิ่งที่ออกฤทธิ์หยุดการเคลื่อนไหวของกะลาสีขี้เมากลุ่มนี้ได้ชะงัด คงเป็นเครื่องแบบราชนาวีสีน้ำเงินเข้ม กับปลายปากกระบอกปืนลำในมือซึ่งถูกกดจ่อเข้าตรงสีข้างของหนึ่งในบรรดาไอ้ขี้เมาซึ่งล็อคแขนเด็กหนุ่มเอาไว้…

!!??!!

        ร่างที่แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงจะยืนทรุดฮวบลงกองกับพื้น ทันทีที่แขนอันเต็มไปด้วยมัดกล้ามของคนด้านหลังซึ่งจับยึดตนไว้คลายวงออก

“ถุงเงินที่หายไปของพวกเจ้า เป็นถุงหนังสีน้ำตาลร้อยด้วยเชือกสีเทารึเปล่า?”

        ไอ้ขี้เมาเจ้าของถุงเงินอึกอักลังเลก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วถุงเงินลักษณะดังกล่าวก็ถูกโยนลอยหวือเข้าใส่หน้าอกมันทันที ก่อนจะหล่นใส่มือ

        “ข้าพบมันตกอยู่หน้าห้องน้ำเมื่อครู่ เห็นภายในยังมีเงินอยู่ เลยว่าจะเอามาถามหาเจ้าของพอดี ในเมื่อเป็นของเจ้าก็ดีแล้ว ข้าจะได้ไม่เสียเวลาตามหา”

        รอยยิ้มถูกจุดขึ้นที่มุมปากราชนาวีหนุ่ม เขาปรายตาไปทางเด็กหนุ่มที่ร่วงไปกองอยู่กับพื้นซึ่งกำลังพยายามใช้โต๊ะและเก้าอี้ใกล้ๆเป็นหลักพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

        “ข้าว่าเด็กนี่ควรได้ไปตรวจดูอาการที่โรงหมอสักหน่อย ถ้าพวกเจ้าเล่นสนุกกันพอแล้ว…ไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าข้าจะเอาเขาไปกับข้า…อ้อ! แล้วก็…ซัก…1 โกลด์น่าจะพอค่ารักษานะ ว่าไหม?”

        มุมปากระบายรอยยิ้มเหยียดขึ้นขัดกับแววตาจริงจังและกดดันเอาเรื่องในที ก่อนจะยื่นมือแบไปตรงหน้าเจ้าของถุงเงิน…

        เมื่อเหรียญทองถูกวางใส่มือแต่โดยดี ราชนาวีหนุ่มก็กำเหรียญในมือยิ้มรับ แล้วหันไปเพยิดหน้าเรียกเด็กหนุ่มให้เดินตามตนออกไปจากร้าน ก่อนไปก็หันไปตะโกนบอกเจ้าของร้านผู้เป็นนายจ้างเสียหน่อย ว่าจะพาลูกจ้างของเขาไปโรงหมอ จากนั้นทั้งคู่ก็ออกจากร้านไปโดยไม่มีใครคิดจะทักท้วง

.

.

………………………………………….

พ้นสายตาผู้คนในร้านออกมาไม่เท่าไหร่ ข้าก็หยุดฝีเท้า ร่างกายที่บอบช้ำเซนิดๆไปพิงเข้ากับลังไม้ที่กองอยู่ข้างทาง

“ข้า…ไม่อยากไปโรงหมอ…แผลแค่นี้ข้าจัดการเองได้”

        รู้ตัวว่าไม่ไหว แต่ก็ทำปากแข็งพูดไปอย่างคนอารมณ์ไม่ดี หลังมือถูกยกขึ้นเช็ดคราบเลือดที่มุมปากออกอย่างลวกๆ ความรู้สึกกระดากอายที่ตนเองอยู่ในสภาพดูไม่จืด ทำให้ข้าไม่กล้ามองหน้าผู้ที่เข้ามาช่วยได้ถนัดตานัก

        ได้ยินคำเข้า ราชนาวีหนุ่มก็หันควับกลับมายืนกอดอก หรี่ตามองเด็กหนุ่มดื้อด้านอย่างข้าครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ถอนหายใจอย่างปลงๆ…

“ถึงไงเจ้าก็ยังกลับเข้าไปในร้านตอนนี้ไม่ได้อยู่ดี ตามข้ามาสิ”

        พูดจบคนพูดก็ก้าวเท้าตรงไปยังตรอกมืดไม่ไกลจากจุดที่เราทั้งคู่ยืนอยู่มากนัก โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะตามไปหรือไม่

        ข้ามองตามแผ่นหลังนั้นไป ลังเลอยู่นิด ในที่สุดก็ตัดสินใจลากสังขารตามไป เพราะเรื่องที่ว่าข้ากลับเข้าร้านไปตอนนี้คงไม่ได้นั้นก็เป็นความจริง

        นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้กล่าวขอบคุณคนเบื้องหน้าที่เข้ามาช่วยไว้ ก็รีบก้าวตามให้เร็วขึ้นเท่าที่จะทำได้ ทางนั้นเองก็เหมือนจะพอรู้ว่าคนที่ตามหลังมาคงเดินได้ไม่เร็วนัก จึงผ่อนจังหวะฝีเท้าที่ก้าวอยู่ให้ช้าลง จนเมื่อเดินมาอยู่ข้างกันข้าจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน

“ข้า…เซธ…”

ตั้งใจจะพูดชื่อ ‘เซธเซ่’ ออกไป แต่พูดได้เพียงเท่านั้นก็ชะงัก

        ตั้งแต่ขึ้นฝั่งมา…นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ยินใครเรียกชื่อตัวเองเต็มๆอย่างที่พ่อและลูกเรือเอเดรี่ยนเคยเรียก… เพียงนึก ความรู้สึกคิดถึงเหล่าผู้คนที่จากไปก็ไหลรินออกมาจากรอยแยกของหัวใจจนเหมือนมีก้อนจุกในอก บาดแผลในใจที่หลอกตัวเองอยู่ตลอดว่าสมานสนิทหายดีแล้ว…

        ลำคอตีบตันจนเสียงที่พยายามเค้นตอบออกมาฟังดูแหบพร่า

“…ท่านเรียกข้าว่า ‘เซธ’ ก็ได้…ใครๆก็เรียกข้าแบบนั้น…ขอบคุณมากครับที่ช่วยข้าไว้”

ข้าพูดพลางค้อมศีรษะเป็นเชิงขอบคุณไปด้วย

     พอเงยหน้าขึ้นแล้วนั่นล่ะ ถึงเป็นครั้งแรกที่ข้าได้ลอบสังเกตผู้ที่เข้ามาช่วยตนไว้ได้ถนัดตา ราชนาวีหนุ่มตรงหน้ามีผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อน อายุประมาณยี่สิบกว่าๆเท่านั้น แต่ดูจากท่าทางภูมิฐานสง่างาม และไว้ตัวนิดๆนั้น ก็พอเดาได้ว่าเขาคงมาจากตระกูลผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ หรือชาติตระกูลดีทีเดียว ดูเหมือนจะเป็นคนที่ห่างไกลกับข้าลิบลับ

เขากลอกดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองมาทางข้า…ดวงตาที่เหมือนกับอ่านใจคนได้…

        “เพิ่งมาอยู่แถวนี้สินะ ถ้าอยากอยู่รอดเจ้าคงต้องเรียนรู้อีกเยอะ แต่ก็เอาเถอะ… ยินดีที่ได้รู้จักนะเซธ” แล้วรอยยิ้มบางก็ระบายบนใบหน้าราชนาวีหนุ่ม “ข้าชื่อ จีโน่…จีโน่  แองเจโลนี่…”

        แปลกดีที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนๆกับรอยยิ้มของเขา ภายใต้แสงไฟหรี่ในตรอกมืด ทำให้ข้ารู้สึกประหม่านิดๆ และนั่นก็เป็นครั้งแรกด้วยที่ข้าเริ่มรู้สึกดีกับคนในเครื่องแบบราชนาวี

.

.

        เดินเข้ามาลึกจนเกือบสุดตรอก พวกเราก็มาหยุดยืนที่หน้าโรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่ง ซึ่งมองปราดเดียวก็รู้ว่ามันถูกใช้ไม่ต่างจากซ่องดีๆนี่เอง

        คนเดินนำหน้ามา กลอกตามองไปทางอื่น ก่อนหันกลับมามองข้าพร้อมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นิดๆ ช้อนมือข้างหนึ่งของข้ายกขึ้นแล้ววางเงินลงมา

“เอ้า! แล้วนี่ 1เหรียญโกลด์ของเจ้า เซธ”

ข้าก้มมองเหรียญทองที่ถูกวางลงบนฝ่ามือ ก่อนเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม ในใจเริ่มไม่สบอารมณ์เล็กๆ

“แน่ใจนะว่าไม่ต้องไปโรงหมอน่ะ?” คนตรงหน้าถามย้ำ

ข้ากำเหรียญไว้แต่สะบัดหลังมือปัดมือของอีกฝ่ายออกอย่างหงุดหงิด

        …ใบหน้าหวานและผิวขาวละเอียดซึ่งข้าจะได้มาจากฝั่งพ่อหรือแม่แท้ๆนั้นเป็นสิ่งที่ข้าเองก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่รู้แน่ๆก็คือข้าไม่เคยต้องการมัน…ยิ่งช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา เมื่อวันๆต้องทำงานขลุกอยู่กับพวกขี้เมา รูปลักษณ์ภายนอกเช่นนี้ยิ่งไม่เคยนำเรื่องดีๆมาให้ มีแต่ทำให้ข้าต้องทนเป็นเหยื่อให้พวกลูกค้าใจชั่วคิดแต่จะหาเศษหาเลย ทำตัวหยาบโลนกดขี่ข่มเหงมาโดยตลอด ตั้งแต่ข้าเริ่มทำงานที่ร้านเหล้าแห่งนี้ในช่วงแรกๆแล้ว ที่เบาหน่อยก็เป็นการโดนค่อนแคะหยอกล้อโดยพวกขี้เมาทั้งหลาย ราวกับข้าเป็นเด็กสาววัยรุ่นขี้อายนางหนึ่งเท่านั้น

        กำลังนึกจะด่าสวนท่านผู้มีคุณอยู่เลย ว่าข้าไม่ใช่พวกขายตัว ดีที่อีกฝ่ายเอ่ยประโยคต่อมาซะก่อน

        “ข้ามีคนรู้จักอยู่ที่นี่ เขาช่วยทำแผลให้ฟรีได้น่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเจ้าแค่อยากได้เงินเก็บไว้ล่ะก็ แต่ยังไงก็ดูแผลซะหน่อยดีกว่า ถ้าเจ้าไม่รังเกียจสถานที่น่ะนะ” พูดจบคนตรงหน้าก็หัวเราะบุ้ยปากไปทางประตูทางเข้าโรงแรม

        ใบหน้าของข้าร้อนวูบขึ้นมาทันทีด้วยความอับอาย เมื่อรู้ว่าตนเป็นฝ่ายเข้าใจเจตนาของอีกคนผิดไปไกล แต่ก็นั่นล่ะเหมือนทางนั้นเองก็ตั้งใจจะแกล้งหยอกข้าเล่นด้วยเช่นกัน แต่ในเมื่อไม่มีใครติดใจอะไร เขาจึงหันไปผลักประตูเดินนำเข้าไปด้านในทันที

        “มาสิ! จะได้หาของกินกันด้วย ข้าหิวแล้ว”

        เจ้าของโรงแรมเป็นหญิงสาววัยกลางคนที่ชื่อ ‘เคจ’ นางให้การต้อนรับเราทั้งคู่อย่างดี และ ยังเป็นคนช่วยตรวจเช็คบาดแผลและทำแผลให้กับข้าด้วย ภายหลังข้าจึงได้รู้ว่า เคจเองก็เป็นหนึ่งในสายข่าวของราชนาวี ซึ่งคอยรายงานความเคลื่อนไหวต่างๆในเมืองให้กับหน่วยข่าวกรองของท่านจีโน่

        ซุปชามใหญ่ และสตูว์เนื้อร้อนๆพร้อมกับข้าวเปล่าอุ่นหอมพูนจาน ถูกนำใส่ถาดยกมาให้ข้ากินในห้องพักว่างๆห้องหนึ่ง หลังจากที่ทั้งท่านจีโน่และเคจรู้ว่าข้าอาศัยโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นที่พักพิง และฝากปากท้องอยู่ที่นั่นมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา

        …ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาหารที่เคยได้รับในแต่ละมื้อ จนเริ่มชินชาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามีเพียงซุปใสเย็นชืดกับขนมปังแข็งขึ้นรารึเปล่านะ ที่ยิ่งทำให้อาหารร้อนๆตรงหน้าข้าในตอนนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนได้กลับไปกินข้าวอย่างอบอุ่นร่วมกับพ่อและลูกเรือเอเดรี่ยนอีกครั้ง…ความรู้สึก…ที่เหมือน…ได้กลับบ้าน…

        …หลายเดือนที่รู้สึกเหมือนถูกหักหลัง…ถูกคนที่รักทอดทิ้งไว้เบื้องหลังให้ลอยคว้างไร้ทิศทางเหมือนใบเรือที่ถูกลมตีจนเชือกใบขาด…ได้แต่สะบัดคว้างตามแต่แรงลมจะกระทำ…บัดนี้ถูกดึงกลับลงมายึดเข้ากับโครงใบและเสากระโดงเรืออีกครั้ง…

        …ท่ามกลางคนแปลกหน้าสองคนซึ่งเพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก…น่าแปลกที่ข้ากลับพรั่งพรูเรื่องราวของตัวเองออกมามากมาย ทั้งเรื่องของพ่อ…และผู้คนบนเรือเอเดรี่ยน…ทั้งความทรงจำดีๆ และเรื่องเลวร้ายซึ่งพาดผ่านเข้ามา โดยที่คนออกปากว่าหิวอย่างท่านจีโน่ได้แต่นั่งนิ่งฟังข้าเล่าอย่างตั้งใจ…

        “หนึ่งโกลด์นั่นจะเอาไว้จัดงานศพสินะ? มันไม่พอหรอกนะ เจ้าทึ่ม! ทางนั้นมากันตั้งหลายคน ต่อให้เจ้าชนะได้คนหนึ่ง แล้วไง? ก็ไม่พ้นโดนยำอยู่ดี รู้ทั้งรู้ยังจะโง่ไปมีเรื่องกับพวกมันอีก โง่ๆแบบนี้ มีกี่ชีวิตก็ไม่พอใช้…”

        รู้จักกันไม่ทันไรอีกฝ่ายก็สาดใส่ข้ามาแบบไม่ยั้ง โดยมีเคจนั่งหัวเราะเบาๆอยู่ข้างๆ แม้จะแปลกใจนิดๆ แต่การถูกว่ามาตรงๆ แรงๆก็ดูจะกระแทกตรงเข้าไปในหัวใจของข้าได้มากกว่าคำพูดปลอบใจสวยหรูตามมารยาทซึ่งหาฟังได้ทั่วไป

        “…หรือว่าเบื่อชีวิต อยากตาย?” คิ้วเรียวยาวซึ่งส่วนปลายตกลงหน่อยๆ ของท่านจีโน่เลิกขึ้นสูง กึ่งถามกึ่งเย้าแหย่

        …เบื่อชีวิตไหม?…อยากตายรึเปล่างั้นเหรอ?…

        มันไม่ใช่คำถามใหม่สำหรับข้า… เพราะตั้งแต่มีชีวิตอยู่บนฝั่งมา ข้าถามคำถามเหล่านี้กับตัวเองไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

        …อยู่หรือตาย…มันจะต่างกันตรงไหน…

        เมื่อไม่มีสิ่งใดบนโลกใบนี้หลงเหลือให้รักและหวงแหนหากต้องจากไป…ไม่มีความปรารถนาจะทำสิ่งใดหากชีวิตยังต้องดำรงอยู่

        ชีวิตที่ไม่เหลือใครให้ผูกพัน ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรัก ไม่มีครอบครัว ไม่ว่าจะดำรงอยู่หรือดับไป ชีวิตหนึ่งเดียวนี้ก็ไม่ส่งผลกระทบกับใครบนโลกใบนี้เลยซักนิด… บางทีสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้…มันอาจจะนานเกินพอแล้ว สำหรับคนที่แม้แต่พ่อกับแม่แท้ๆยังไม่ต้องการอย่างข้า…

        …ทั้งๆที่รู้…ว่าเป็นชีวิตที่ไม่เหลืออะไรให้อาวรณ์…แต่แปลกดีที่บางครั้งก็มีเสียงเล็กๆในหัวตัวเอง คอยแอบถามคำถามบ้าๆอันไร้ความหมาย…

        …ถ้าข้าตายไป…จะมีใครบนโลกนี้ร้องไห้เสียใจให้ข้าบ้างไหมนะ…

        …จะมีใครบนโลกนี้รับรู้ และยังจดจำข้าได้บ้างไหม…

…ยิ่งคิดหาคำตอบ…ในหัวใจข้าก็ยิ่งรู้สึกแห้งผากอย่างบอกไม่ถูก…

        ดวงตาสีม่วงเข้มไหววูบตามความรู้สึก จนเผลอตัวทอดสายตาว่างเปล่าก้มลงมองฝ่ามือกร้านหยาบของตนนิ่ง …มือที่ปกป้อง ไขว่คว้าใครไว้ไม่ได้เลย…

        “ถึงข้าตายไป…ก็ไม่เดือดร้อนให้ใครต้องมานั่งร้องไห้อยู่เบื้องหลังหรอกครับ…ชีวิตว่างเปล่าไร้ตัวตนบนโลกแบบนี้น่ะ…จะอยู่หรือตาย มันก็ไม่ได้ต่างกันไม่ใช่เหรอครับ”

        ราชนาวีหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮ้อใหญ่ขณะมองตรงมา …ดวงตาสีน้ำตาลที่ราวกับจะอ่านความคิดของข้าได้หม่นแสงลง

“…นั่นสินะ ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า…แต่ถ้าให้ข้าพูด…ก็นั่นแหละ อย่าหาเรื่องตายโง่ๆ แล้วกันนะ”

…อย่าหาเรื่องตายโง่ๆ… งั้นเหรอ…

…มุมปากซึ่งถูกเช็ดคราบเลือดออกไปแล้วยกยิ้มขึ้นบางๆ…

ฟังคำด่าแบบนี้แล้วรู้สึกอบอุ่นใจ…ข้าคงเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ

        จะว่าไป…ข้าในตอนนั้นไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ชายหนุ่มผมหยักศกผู้มีดวงตาสีน้ำตาลอ่อนตรงหน้า จะเข้ามาทำให้ชีวิตของข้าผิดเพี้ยนไปได้มากขนาดไหน

รู้เพียงว่านับแต่ค่ำคืนนั้น คนผู้นี้ก็ได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของข้าแล้ว

…ค่ำคืนนั้นที่ร้านเหล้า… เป็นครั้งแรกที่ข้าได้รู้จัก…

…เรือเอก จีโน่ แองเจโลนี่…

…………………………………………………………………………

…To Be Continue… 

[RP] Side Story 01 : Melt Kiss

Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของคอมมู

 RP Banner

 สังกัด

 LV Banner

[RP] Side Story 01 : Melt Kiss

Rating : PG13

Word count : ประมาณ 3,597 คำ

Characters : เซธ, วิเวียน และอ้างอิงเหตุการณ์ในอดีตกับ ลูก้า แซงค์ หมอประจำเรือ LV

Author’s Note : Fiction Side Story เรื่องนี้เป็นฟิคคู่ที่ดำริมาจากฉาก 2 ฉากของเซธ กับวิเวียน ที่เหล่าแม่ๆนัดกันว่าจะต่างคนต่างแยกไปแต่งมุมมองของเซธ และวิเวียนมาแลกกันอ่าน โดยในส่วนของความรู้สึกของเซธจะเป็น “Melt Kiss” และในส่วนของความรู้สึกของวิเวียนจะเป็น “Frozen Heart” ค่ะ

** ทั้งนี้ขอขอบคุณภาพประกอบแซ่บๆจาก Paulina Young ผปค. กัปตันราเกซ (@Capt_LV) มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

…………………………………………………………………………

[RP] Side Story-01 : Melt Kiss

        ‘พญามัจจุราชแห่งท้องทะเล’ เป็นชื่อที่รู้จักกันดีในหมู่นักเดินเรือในเขตน่านน้ำทางตอนใต้ของทวีปแรคโคโรเซีย ด้วยอุณหภูมิอากาศอันหนาวเย็นจนแทบจะกัดกินเข้าไปถึงกระดูก หากเป็นผู้ซึ่งไม่คุ้นเคยกับอากาศแบบนี้ โอกาสที่จะตกลงไปในอุ้งหัตถ์อันเย็นเยียบของพญามัจจุราชอย่างไม่มีวันหวนกลับยามนิทรารมย์ก็กลายเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยครั้งในหมู่ลูกเรือใหม่

        หากแต่ค่ำคืนนี้ แม้แต่จุมพิตมัจจุราชอันหนาวเย็นก็ไม่อาจส่งผลใดๆต่อร่างลูกเรือหนุ่ม ที่นอนกระสับกระส่ายอยู่ในห้องพัก ซึ่งเดิมทีเป็นห้องทำงานของนายช่างใหญ่แห่งลิเวียธานได้ เหงื่อเม็ดโป้งผุดเต็มใบหน้าขาวซีดอย่างชาวโคลเดี้ยนทั่วไป ส่วนผมสีดำสนิทที่ยาวละตามกรอบหน้า บัดนี้ก็เปียกเหงื่อจนชุ่มโชก เมื่อภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่วันก่อนยังคงตามมาหลอกหลอนในความทรงจำ แม้ในยามนี้ ที่เจ้าของร่างหลับใหลไม่ได้สติ…

.

.

        ภาพใบหน้าของลูก้า โมโรนี่  กัปตันโจรสลัดชื่อดังแห่งน่านน้ำรอนโดรี่ซึ่งถูกนั่งคร่อมทับอยู่ใต้ร่างของเขายังคงชัดเจน กระทั่งเซธรู้สึกได้ถึงกลิ่นเหล้าจางๆที่ลอยมาแตะปลายจมูก…ความอุ่นร้อน ตลอดจนเสียงลมหายใจของเขาทั้งคู่ในวันนั้น

11 ปี มาแล้ว ที่เซธไล่ล่าเสาะหาข่าวของลูก้าราวกับสุนัขล่าเนื้อที่วิ่งไล่ตามกลิ่นคาวเลือดอย่างบ้าคลั่ง

        11 ปีที่ผ่านมา…ไม่เคยมีวันใดเลย ที่เซธจะไม่นึกถึงภาพวินาทีที่ดาบในมือตนถูกอาบย้อมด้วยโลหิตของอีกฝ่าย และช่วงชิงลมหายใจของมันผู้นั้น…

        แต่ ณ กลางผับใหญ่ในเมืองคอนเกรสติโอนาโด้ เสี้ยววินาทีแห่งโอกาสที่พญามัจจุราชหยิบยื่นเคียวคร่าชีวิตของลูก้า โมโรนี่มาใส่ในมือของเขา …กลับเป็นเพียงแวบเดียวของความคิด …วินาทีเดียวที่เขาเกิดลังเล จากนั้นทุกสิ่งซึ่งเคยวาดหวังไว้ก็มลายหายวับไปกับตา
sceen00

        เปล่าเลย…ความลังเลของเซธไม่ได้เกิดจากความใจอ่อน หรือความขลาดกลัวที่จะลงมือในการปลิดชีวิตใครสักคน ยิ่งคนตรงหน้าคือลูก้า คนที่เขากระหายอยากจะสังหารอย่างที่สุดด้วยแล้ว จะว่าเป็นความลังเลอันเกิดจากความกลัวตายก็ยิ่งไม่ใช่เข้าไปใหญ่ เซธไม่เคยกลัวตาย และไม่สนใจด้วยซ้ำว่ากลุ่มพวกพ้องลูกน้องของลูก้าซึ่งอยู่พร้อมพรั่งกันในร้านจะรุมยำเขายังไง ภายหลังจากที่หัวหน้าของพวกมันถูกปลิดชีพลงด้วยน้ำมือของเขา

        ลึกๆแล้ว…ความตาย…อาจเป็นสุดปลายทางของความใฝ่ฝันของเซธก็เป็นได้ …ชีวิตที่ไม่มีใครต้องการ…ไม่มีใครให้ผูกพัน…ไม่มีสิ่งที่รักและหวงแหน ที่เขาเป็น…ก็เพียงเดนตายคนหนึ่งซึ่งพร้อมจะเอาตัวเข้าแลกกับสิ่งที่ต้องการจะทำก็เท่านั้น

        หากแต่…การรอคอยอันเนิ่นนานทำให้เขากลัว…แวบเดียวของความคิดลังเลที่ว่า หากการจู่โจมในครั้งนี้ของเขาเกิดผิดพลาด เมื่อลูก้าจดจำหน้าของเขาได้แล้ว จากนี้ไป…โอกาสที่จะได้เข้าใกล้หมอนี่อีกครั้งคงแทบจะเป็นศูนย์ และความคิดนั้นก็ทำให้เขาเลือกจะใช้หมัดลุ่นๆ ต่อยเข้าที่สันกรามของอีกฝ่าย เสมือนเป็นการมีเรื่องชกต่อยกันตามปกติ เพื่อปกปิดสถานะตน ให้อยู่ในฐานะพ่อค้าขี้เมาธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น แทนที่จะตวัดมีดสั้นกริมริพเพอร์ซึ่งซุกซ่อนอยู่ตรงปลอกแขนของตนขึ้นมาตัดหลอดลมของคนซึ่งถูกนั่งคร่อมทับอยู่ด้านล่างอย่างที่หมายใจ

        ภาพเหตุการณ์ชุลมุนต่อจากนั้นเลื่อนไหลสับสน ราวกับภาพสะท้อนบนผิวน้ำยามท้องทะเลปั่นป่วนด้วยลมพายุ ประกายคมดาบของแซงค์ เจ้าสุนัขบ้าหวงเจ้าของนั่น …ประกายไฟตรงปลายปากกระบอกปืน…กลิ่นดินปืน และกลิ่นคาวเลือด จนถึงแรงถาโถมหนักอึ้งด้านหลังของเขาที่กดทับบังคับให้เซธต้องนอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้น

        ภาพสุดท้าย… คือภาพรอยเหยียดยิ้มแสยะจนเห็นเขี้ยวของลูก้าซึ่งมองมาที่เขา ราวกับเจ้าของรอยยิ้มนั้นจงใจตามมาเย้ยหยัน ภาพรอยยิ้มซึ่งยังคงติดตา แม้ในความเป็นจริง มีโอกาสเพียงเสี้ยวนาทีเท่านั้นที่เซธจะได้เห็นรอยยิ้มนั้น ก่อนที่ปลายรองเท้าบู้ทของลูก้าจะเหวี่ยงอัดเข้าเต็มแรงตรงขมับด้านซ้ายของเขา

.

.

        ร่างบนเตียงสะดุ้งเฮือกสุดตัวขึ้นมานั่งลืมตาโพลง ความเจ็บทั่วร่างจากบาดแผลในวันนั้นซึ่งยังคงไม่หายดี ตอกย้ำให้รู้ว่าภาพทั้งหมดที่เห็นเมื่อครู่ไม่ใช่เพียงแค่ความฝัน และที่เจ็บปวดยิ่งกว่าบาดแผลทั้งหมดบนร่างกายในตอนนี้ก็คือ สิ่งซึ่งต้องรับรู้ในทุกๆครั้งที่ตื่นขึ้นมา

        …ความจริงที่ว่า…เขาปล่อยให้โอกาสเดียวที่มี… โอกาสที่เฝ้ารอคอยมาตลอด 11 ปีเต็ม… โอกาสที่จะฆ่า ลูก้า โมโรนี่ หลุดมือไปเสียแล้ว…

        …เสียงคลื่นซัดกระทบตัวเรือในคืนอันเงียบสงัดที่ดังลอดเข้ามา ไม่สามารถดังกลบเสียงเบาที่เล็ดลอดออกมาจากฝ่ามือใหญ่ซึ่งยกปิดใบหน้าตนเองไว้ได้ ภายในห้องมืดมิดอันปราศจากความเคลื่อนไหวใดๆ มีเพียงเงาร่างของหัวไหล่แกร่งซึ่งบัดนี้ตกลู่ห่อลงอย่างสิ้นหวังเท่านั้นที่สั่นไหวขึ้นลงเบาๆ

        …ต้นเหตุของกายที่สั่นสะท้านอยู่ในตอนนี้อาจไม่ใช่อากาศหนาวเหน็บยามค่ำคืนกลางทะเลในน่านน้ำของโรซาริน่า…แต่อาจจะเป็นหัวใจเหน็บหนาวซึ่งถูกแช่แข็งมานานจนแห้งผากที่กำลังพังทลายลงอย่างช้าๆอยู่ในตอนนี้ก็เป็นได้…

        ในยามดึกดื่นเช่นนี้ยังมีคนอีกผู้หนึ่งซึ่งยังนอนไม่หลับเฉกเช่นกัน…เซธยืนมองร่างเพรียวบางที่นั่งเป็นเงาตะคุ่มตรงกาบเรือ ร่างนั้นเป็นของหญิงสาววัยรุ่นผมสีแดงเพลิงที่ยังคงเหม่อมองไกลออกไปภายใต้ท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยแสงดาวระยิบระยับ

        ถ้าไม่มีใครกระซิบบอกละก็ เซธคงไม่มีทางคิดหรอกว่า วิเวียน เจเกอร์แมน น่ะเป็นถึงนายช่างใหญ่ของลิเวียธาน เพราะตั้งแต่วันแรกที่เซธขึ้นมาเป็นลูกเรือของเซนติเนล ภาพที่เขามองดูวิเวียน ก็เป็นเพียงภาพของเด็กสาวห้าวๆจอมดื้อ ผู้ไม่ค่อยยิ้มแย้มเหมือนเด็กสาวทั่วไปก็เท่านั้น แต่เซธก็ไม่ได้แปลกใจนัก ก็เด็กสาวใสๆปกติที่ไหนจะมารับงานอยู่บนเรือโจรสลัดกัน

        เซธเองก็ชอบงานช่างและงานออกแบบ วัยเด็กของเขาซึ่งเติบโตมาในเรือพาณิชย์ของพ่อบุญธรรม สำหรับเด็กชายคนหนึ่งผู้ต้องใช้ชีวิตอยู่บนเรือซึ่งลอยอยู่กลางทะเล งานซ่อมเรือเป็นเสมือนทั้งงานอดิเรก และสิ่งบันเทิงใจหลักของเขาในเวลาว่างได้ดีทีเดียว แล้วพอได้กลับมาพูดคุยเรื่องงานช่างอีกครั้งกับวิเวียน มันก็ทำให้เขากลับมาเริ่มรู้สึกสนุกมากขึ้นเรื่อยๆ

        …ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ…ที่สายตาของเขาเริ่มสอดส่ายมองหาเด็กสาวผมแดงคนนี้ในเวลาที่ว่างจากการฝึกซ้อมและงานของตน…ไม่ใช่ทุกครั้งหรอกที่เจอตัวแล้วจะได้พูดคุยอะไรกัน หลายต่อหลายครั้งที่เซธเพียงแค่ลอบมองอีกคนอยู่ห่างๆ แต่มันก็กลายเป็นนิสัยอย่างหนึ่งของเขาไปซะแล้ว

        เซธรู้ตัวดีว่าเขาไม่ใช่คนคุยสนุกร่าเริงนัก เขาออกจะเป็นคนกวนประสาทและช่างเถียงไปสักหน่อย ทุกครั้งที่วิเวียนกับเขาคุยกัน มันก็เลยมักจะจบลงด้วยการต่อล้อต่อเถียงซะมากกว่าจะครื้นเครงสนุกสนานอย่างเพื่อนกะลาสีคนอื่นๆ

        …แล้วมัน…ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ…ที่คนๆนี้กลายเป็นผู้ที่วนเวียนอยู่รอบๆตัวเขามากที่สุด

        เซธรู้ดีว่าวิเวียนจะเป็นคนแรกที่ยื่นมือมาช่วยเขาในยามที่เขาเดือดร้อน โดยไม่รอให้ต้องเอ่ยปากร้องขอ และหล่อนจะเป็นคนสุดท้ายที่จะทอดทิ้งเขา…

        …เพราะรู้แบบนี้ เขาจึงยิ่งรู้สึกผิด ที่ลากเอาทั้งแวสโก้ และวิเวียนเข้าไปพัวพันกับเหตุปะทะกันกับลูก้าที่ริลแบโร่พอร์ท เขาเป็นต้นเหตุให้ทั้งคู่ต้องตกอยู่ในอันตรายเพียงเพราะความไม่เอาไหนของตัวเขาเอง

“มาทำอะไรตรงนี้ตอนดึกๆน่ะ”

        เซธเป็นฝ่ายเอ่ยทัก หลังจากออกมาเดินรับอากาศเย็นๆตรงดาดฟ้าเรือเพราะป่วยการจะฝืนข่มตานอนต่อ ทั้งที่ในใจมันยังคุกรุ่นอยู่แบบนี้ แต่ก็แปลกดี…ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายความรุ่มร้อนข้างในก็เบาบางลง รู้ตัวอีกทีขาของตนก็พาให้เขาเดินตรงเข้าไปหาวิเวียนซึ่งนั่งอยู่ตรงกาบเรืออยู่ก่อนแล้ว

“ก็…เพิ่งสระผมเลยมานั่งรอผมแห้งน่ะ”

        หญิงสาวเอี้ยวหน้ามามองพร้อมชูผ้าเช็ดผมให้ดู ท่าทีไม่สะทกสะท้านกับความหนาวนั่นทำให้คิ้วเข้มของเซธมุ่นเข้าหากันก่อนดึงแย่งผ้าเช็ดผมมาจากมืออีกฝ่าย

“อากาศหนาวขนาดนี้ เจ้ายังมานั่งหัวเปียกตากลมทะเลกลางดึก ถ้าไม่สบายไปข้าจะไม่แปลกใจเลยจริงๆ”

        เซธถอนหายใจ ใช้ผ้าคลุมทับศีรษะอีกฝ่าย ก่อนจะเริ่มช่วยซับปอยผมชื้นให้ทีละปอย

        วิเวียนเป็นคนใส่ใจคนรอบข้างเสมอ แต่นั่นยิ่งทำให้เซธหงุดหงิดและบางครั้งก็รู้สึกขวางหูขวางตาเวลาที่เห็นหล่อนเที่ยวดูแลเอาใจใส่ใครต่อใครไปทั่ว จะว่าไปเขาคงจะไม่หงุดหงิดขนาดนี้ ถ้าคนตรงหน้าจะดูแลใส่ใจตัวเองได้สักครึ่งหนึ่งของที่หล่อนใส่ใจคนรอบข้าง

“ข้าป่วยเจ้าก็ดูแลสิ  ง่ายจะตาย” วิเวียนตอบมาขำๆ

“เจ้าป่วย ข้าก็เจ็บ ไม่มีใครได้ดูแลใครทั้งนั้นล่ะ” เสียงของเซธอ่อนลง แม้จะไม่นึกขำตามอีกฝ่ายด้วยเท่าไหร่

“ข้าไม่ป่วยง่ายๆหรอกน่า ข้าป่วยใครจะคอยทำแผลให้เจ้าล่ะ” แล้วการต่อล้อต่อเถียงระหว่างเขากับหล่อนก็เปิดฉากขึ้นอีกครั้ง

“…หมอประจำเรือไง…” เซธเอ่ยตอบอีกฝ่ายไปเรียบๆ หากแต่ในใจเขาเองก็นึกสะดุด

        ตั้งแต่โดนยิงบาดเจ็บมาจากการสู้กับลูก้า คนที่คอยดูแลทำแผลให้เขากลับเป็นคนตรงหน้า แทนที่จะเป็นนายแพทย์ใหญ่ประจำลิเวียธาน แม้สาเหตุจะเป็นเพราะความดื้อของเขาเอง ที่ไม่ยอมให้หมอประจำเรือดูแลบาดแผลให้ แต่ถึงอย่างนั้นมันไม่ใช่หน้าที่ความรับผิดชอบของวิเวียนเลย ที่จะต้องมาดูแลทำแผลให้ลูกเรือธรรมดาคนหนึ่งอย่างเขา แต่หล่อนก็ดูแลเขาอย่างดีมาตลอด ถึงขนาดยกห้องพักส่วนตัวของหล่อนให้เขาใช้พักฟื้นด้วยซ้ำ

        ถึงจะต่อล้อต่อเถียง แกล้งกันสารพัดแต่ลึกๆในใจเขาเองก็รู้ว่าวิเวียน…’ดีกับเขา’… แต่ถึงขั้นพิเศษกว่าคนอื่นหรือไม่เขาเองก็ไม่กล้าคิด…หรือบางที…อาจเป็นเขาเองที่กลัวคำตอบ…

“เผื่อเจ้าอยากให้ข้าทำแผลให้บ้างไง” เจ้าของผมสีแดงเพลิงโคลงหัวไปมาขณะตอบ

“ทำไมข้าจะต้องอยากได้อะไรแบบนั้นด้วย”

…นั่นสิ…ทำไม…คำถามที่เอ่ยออกไปราวกับคำถามที่เซธกำลังอยากจะเอ่ยถามตนเอง

“ไม่รู้ ข้าก็พูดไปงั้น คงเป็นข้าเองที่อยากทำให้เจ้าล่ะมั้ง” หญิงสาวเพียงตอบงึมงำมาเรียบๆ

เซธถอนหายใจเบาๆ มือยังคงเช็ดผมให้อีกฝ่ายไปพลางปลอบให้อีกฝ่ายเลิกกังวลกับบาดแผลของเขาไปพลาง

        …ใช่แล้ว… ชีวิตโจรสลัดมันก็แบบนี้ล่ะ เขาเองก็เตรียมใจไว้อยู่แล้ว ตั้งแต่หันหลังให้ราชนาวีโดดเข้ามาสมัครเป็นลูกเรือให้เรือโจรสลัดนั่นล่ะ ขึ้นชื่อว่าโจรสลัด ต่อให้อยู่สายข่าวเวลารบพุ่งกันจริงๆ มันก็ตะลุมบอลกันนั่นแหละ ไอ้ที่จะไม่เจ็บเลยก็คงไม่ใช่ แผลพวกนี้สำหรับเขามันแทบไม่มีความหมายอะไรนัก เจ็บได้ก็หายได้ แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่ตกใจกับการบาดเจ็บในคราวนี้ยิ่งไปกว่าเขา กลับเป็นวิเวียน

        ที่ผ่านมาถึงจะเถียงกันบ่อยๆ แต่เซธไม่เคยเห็นวิเวียนโกรธอย่างจริงจัง…ถึงจะมีโมโหเขาบ้าง ในบางเวลาที่เขาพูดจาหรือทำอะไรขัดหูขัดตาอีกฝ่าย แต่วิเวียนก็ไม่เคยโมโหเขาขนาดปรี่เข้ามาชกหน้า แถมยังเหวี่ยงร่างโชกเลือดของเขาลงพื้นอย่างวันนั้นที่คอนเกรสติโอนาโด้ แต่ถึงจะโมโหขนาดนั้น ก็ยังคงเป็นหล่อนไม่ใช่เหรอที่หิ้วปีกเขาขึ้นเรือเล็ก พาลากกลับมาที่เรือเซนติเนล และวิ่งวุ่นพาเขาไปหาหมอประจำเรือจนได้

“…ข้ายังโมโหเจ้าอยู่นะเซธ” วิเวียนพ่นลมหายใจหนักๆอย่างหงุดหงิด ก่อนหันกลับมามองหน้าเขา

“……” เซธขยับนั่งลงตรงหน้า แล้วสบตามองอีกฝ่ายอย่างใจเย็น “โมโหเรื่องอะไรล่ะ?” คำถามซึ่งเขาเองก็อยากรู้คำตอบ

“ไม่รู้ แค่รู้สึกหงุดหงิด…เห็นแผลเจ้าแล้วหงุดหงิด” ดูท่าแม้แต่คนตรงหน้าเองก็ยังไม่มีคำตอบให้เช่นกัน

“… ถ้าเห็นแลัวหงุดหงิด ยังจะอยากมาทำแผลให้ข้าอีกเหรอ… เจ้านี่ก็ตลกดี” เขาขำออกมาเบาๆ

…บางครั้งเรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องอธิบาย…คำถามบางคำถามก็ไม่จำเป็นต้องมีคำตอบ…

“ข้าแค่อยากเห็นเจ้าหายไวๆก็เท่านั้น….”

        มือเล็กเรียวบางซึ่งวันๆสัมผัสอยู่แต่กับค้อนตะปูและเครื่องมือช่าง เอื้อมมาแตะแผลตรงแขนของเขา มือข้างนั้นไม่ได้นุ่มนิ่มเหมือนมือของหญิงสาวคนอื่นๆที่เซธเคยพบมา แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกหวั่นไหว

        เซธเลื่อนมืออีกข้างเอื้อมมากุมมืออีกฝ่ายไว้เบาๆ เกลี่ยปลายนิ้วไล้ไปตามหลังมือของหญิงสาว ดวงตาสีม่วงเข้มของเขา มองสบนัยน์ตาสีเทาเข้มของอีกฝ่าย

“ข้ารู้เจ้าเป็นห่วง ขอโทษนะที่ทำให้ไม่สบายใจ”

        …ครั้งสุดท้ายที่เซธรับรู้ได้ถึงความหนาวเย็น…มันคือความเย็นเยียบที่เข้าเกาะกุมหัวใจเขา…จากริมฝีปากเย็นเฉียบสีซีดจางไร้ชีวิตซึ่งเขาจรดลงสัมผัส…

        แล้วนั่น…ก็เป็นครั้งสุดท้ายเช่นกันที่เขารับรู้ได้ถึงความอบอุ่น…มันเนิ่นนานมากแล้วจนเขาเริ่มไม่ชิน…

       …หัวใจเหมือนได้รับไออุ่น… เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่อีกฝ่ายจะชักมือกลับอย่างเงอะงะ เพียงวูบเดียวเท่านั้นที่นัยย์ตาสีม่วงได้แต่หลุบลงมองตามมือนั้นไป ก่อนจะเงยขึ้นมองอีกฝ่ายอีกครั้ง อย่างเป็นปกติ

“เอ้อ ไม่เป็นไร…แล้วปวดแผลบ้างไหม?” วิเวียนถามขึ้นเหมือนจะชวนเปลี่ยนเรื่อง

ชายหนุ่มส่ายหน้าช้าๆ “ข้าสบายดี คราวหน้าข้าจะระวังให้มากกว่านี้ จะได้..ไม่ทำเจ้าโมโหอีก”

“แน่ใจนะ?” หญิงสาวหรี่ตามองคาดคั้น

“อ้า แน่ใจ…” เมื่อบทสนทนามาถึงช่วงปลาย เซธก็นิ่งไปนิดนึง

        …ความรู้สึกแปลกใหม่ซึ่งไม่คุ้นชิน…สัมผัสบางอย่างที่แม้แต่ตนเองก็ไม่แน่ใจ…เขาลังเลแต่สุดท้ายก็ยอมเสี่ยงพูดมันออกไป

“ข้า…กอดเจ้าได้ไหม?”

“กอดข้า?…เอาสิตามใจเจ้าเลย”

        …แววตาสีเทาเข้มใสซื่อของวิเวียนซึ่งมองตอบมาอย่างงงๆ กับรอยยิ้มแบบ ‘ไม่คิดอะไร’…บางครั้งก็ทำให้เจ็บได้ซะยิ่งกว่าคำปฏิเสธ…

        เซธดึงอีกฝ่ายให้มานั่งหันข้างบนตัก โอบแขนแกร่งไว้รอบร่างอีกคนหลวมๆ ดวงตาจับจ้องเสี้ยวหน้าหญิงสาวครู่นึง รอยยิ้มบางๆ ขัดกับแววตาเศร้าที่ไหววูบเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป เขาปรือตาลง กดใบหน้าเข้าหาอีกฝ่าย แต่จงใจทิ้งระยะห่างระหว่างริมฝีปากของตนและอีกคนค้างไว้ ในระยะแค่เพียงอากาศแทรกผ่าน คล้ายจะเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายถอยหนีได้หากไม่ต้องการ

        …ชีวิตซึ่งแขวนอยู่บนเส้นด้ายมานาน บางครั้งก็นึกอยากจะลองเสี่ยงดู…แม้ผลลัพธ์ของมันจะออกมาเป็นยังไงเขาก็คงยังสามารถยืดอกรับมันได้อย่างลูกผู้ชายคนนึง

        “เซธ…เจ้าชอบจูบคนที่เจ้าไม่ได้รักหรือ? ถ้าแบบนั้นก็หยุดเถอะข้าไม่อยากเป็นเครื่องระบายความใคร่ให้ใคร…หากจะจูบข้าต้องไม่ใช่ในฐานะนั้น…ไม่ใช่ในฐานะของเล่น” คำตอบจากอีกคนแฝงไว้ด้วยน้ำเสียงจริงจัง

        ทุกๆคำพูดราวกับการเหยียบย่ำลงไปบนความรู้สึกของเขาทีละคำๆ บางที…สู้ให้อีกฝ่ายเอามือยันผลักหน้าเขาออกไปเลยยังจะเจ็บน้อยกว่า เซธหลุบตาลง เบี่ยงใบหน้าไปหอมพวงแก้มนิ่มของอีกฝ่ายแผ่วเบา ก่อนจะถอนใบหน้าออกมา รอยยิ้มบางๆยังคงฉาบทับอยู่บนใบหน้าด้วยความเคยชิน มากกว่าจะเป็นการแสดงของอารมณ์ในเวลานี้

        “ทำไมเจ้าถึงไม่ทำแค่หลับตาและอยู่เงียบๆน้า” ชายหนุ่มเปรยออกมาเบาๆ คล้ายจะชวนให้ใครสักคนหัวเราะขำออกมา แล้วทำเหมือนว่าเรื่องโง่ๆที่เขาเพิ่งทำลงไปเป็นเพียงตลกร้าย เพื่อที่พรุ่งนี้หล่อนกับเขาจะได้กลับมาอยู่ในฐานะ ‘เพื่อน’ ได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

        …เขาอยากได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยัน เพราะอย่างน้อยคำตอบของมันก็ชัดเจน…

แขนของเซธยังคงรวบกอดเอวบางไว้ เมื่อไม่มีใครเอ่ยคำใดอีก เขาก็เอียงวางใบหน้าลงบนบ่าอีกฝ่าย

“ขอข้าอยู่แบบนี้แป้บนะ วิเวียน”

        ความรู้สึกปั่นป่วนสับสนในตอนนี้ คงทำให้ใบหน้าของเขาดูแย่ และแปลกไปในสายตาอีกคนแน่ๆ เขาขอแค่เวลาชั่วอึดใจที่จะดึงตัวเองกลับมา เป็นเซธคนเดิมที่ไม่มีสภาพน่าสมเพชแบบตอนนี้ ก็แค่นั้น

        วิเวียนยังคงนั่งนิ่ง มือข้างหนึ่งลูบผมสีดำสนิทของเซธแผ่วเบา

        “เพราะข้า…ไม่อยากเป็นผู้หญิงที่เจ้าจูบแล้วก็ผ่านเลยไง…ไม่อยากเป็นคน…ที่รู้สึกอยู่คนเดียว…” เสียงตอบล่องลอยแผ่วเบาลงในตอนท้าย แต่ถ้อยคำกลับไปดังก้องอยู่ในหัวใจใครบางคนแทน

        เซธยกใบหน้าขึ้นจากบ่าอีกฝ่ายช้าๆ ดึงชายผ้าเช็ดผมชื้นๆให้เลื่อนมาคลุุมใบหน้าของคนทั้งคู่ ใบหน้าที่เคลื่อนเข้าไปหากันจนแทบชิดอีกครั้ง

        “คราวนี้…ถ้ายังไม่ยอมหลับตาอยู่เงียบๆ ข้าจะตีเจ้าแล้วนะ” เสียงปั้นดุยามนี้แฝงน้ำเสียงสดใสกึ่งขำ ก่อนเจ้าคนท่ามากจะบรรจงยื่นใบหน้าประกบริมฝีปากเย็นเฉียบของตนเข้าหาริมฝีปากอุ่นนุ่มของอีกฝ่าย

        “เจ้ามัน…คนเอาแต่ใจ…” เสียงพึมพำแว่วหวานดังลอดออกมาเบาๆ จากใต้ผ้าขนหนู ก่อนจะปล่อยให้ริมฝีปากเย็นนั้นคุกคามริมฝีปากอุ่นเนิ่นนานจนพอใจ

        …ครั้งสุดท้ายที่เซธรับรู้ได้ถึงความหนาวเย็น…มันคือความเย็นเยียบที่เข้าเกาะกุมหัวใจเขา…จากริมฝีปากเย็นเฉียบสีซีดจางไร้ชีวิตซึ่งเขาจรดลงสัมผัส…

        …แล้ว…ครั้งสุดท้ายที่เขารับรู้ได้ถึงความอบอุ่นล่ะ…

        …มันไม่สำคัญอีกแล้ว…เพราะตอนนี้มันคือริมฝีปากอุ่นนุ่มของคนตรงหน้าที่ตัดกับอุณหภูมิอากาศรอบๆตัวของคนทั้งคู่นี่ไง สัมผัสอ่อนหวานเนิ่นนานที่แลกเปลี่ยนกัน ถ่ายเทความอบอุ่นไหลผ่านเข้ามาสู่จิตใจของชายหนุ่ม

        …หัวใจซึ่งถูกแช่แข็งมาเนิ่นนานกำลังค่อยๆหลอมละลาย ราวกับหิมะที่ค่อยๆละลายลงทีละนิดๆ ยามฤดูใบไม้ผลิย่างกรายเข้ามาใกล้ ทั้งที่ตอนนี้ยังคงเป็นกลางฤดูหนาว ท่ามกลางสักขีพยานสำคัญ คือพญามัจจุราชแห่งท้องทะเลของโรซาริน่า…

…………………………………………………………………………