Fictions นี้เป็นส่วนหนึ่งของคอมมู Gang of Chicago [GOC]
![avatar_fbcc1ed07919_128](https://sethce.wordpress.com/wp-content/uploads/2015/12/avatar_fbcc1ed07919_128.png?w=720)
*********************************************
[GOC] Main Event – 1 : the Territory
Fiction 01 : Catching Our Dream
By Shayne Brenig
*********************************************
Rate : 18+ (มีฉากบรรยายถึงความรุนแรงและเซ็กส์)
Letter Count (by http://www.lettercount.com/): 38,853
Word Count (by MS Words) : 10,064 คำ
Author ‘s Note (By Sena) : ลูกสาวกับเว้นท์แรกคอมมู GOC มีสตอรี่ให้เขียนมากมายจนไม่รู้จะยัดลงไปหมดได้เยี่ยงไร เวลาก็นัดน้อยนิดติดงานหลวง เอาเป็นว่าถ้าอ่านไม่ลื่นไม่สนุกยังไงก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ แต่คนปั่นเว้นท์แข่งเดธไลน์สนุ๊กสนุก!! (…)
……………………………………………………………………………………
Catching Our Dream
มหานครชิคาโก้อันคลาคล่ำไปด้วยผู้คน แม้ในยามค่ำคืน แสงไฟจากร้านรวงสว่างจ้ากลบแสงของดวงดาวสุกสกาวเต็มท้องฟ้า พาเอาแสงสว่างซึ่งเดินทางมาไกลหลายล้านปีแสงดูด้อยค่า และไร้ความหมายลงไปถนัดใจ เสียงดนตรีจากเครื่องดนตรีทองเหลืองตามสมัยนิยมดังแว่วไปทั่วทุกแห่งหน บ่งบอกถึงความมีชีวิตชีวาของผู้คนในเมืองที่ไม่ยอมหลับใหล
…ก็เพราะแบบนี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้ชิคาโก้ กลายเป็นมหานครแห่งความฝันของใครต่อใคร ซึ่งพากันหลั่งไหลเข้ามา ราวกับแมลงเม่าตัวจ้อยที่พากันบินหลงเข้าหาแสงไฟ…
ไม่ว่าจะเป็นเงินตรา อำนาจ แม้แต่ความรัก หรือความฝันอันเพริดแพร้ว ก็ดูจะมีพร้อมพรั่งให้ผู้คนได้ตักตวงกันจนหนำใจ แต่จนแล้วจนรอด สิ่งที่ปรารถนาจะครอบครองกลับยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเป็นเงาตามตัว นานวันเข้าก็กลายเป็นการแก่งแย่งช่วงชิง ยิ่งดิ้นรนกระเสือกกระสนไขว่คว้า ในจิตใจของผู้คนก็ยิ่งเหือดแห้งขาดแคลน ไม่ต่างจากหลุมดำอันมืดมิดและว่างเปล่าซึ่งไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ถมกลบได้ไม่เคยเต็ม
ความละโมบ และลุ่มหลง ฉุดรั้งให้ความเป็นมนุษย์ของผู้คนถดถอยลงต่ำ จิตใจเริ่มด้านชาไร้ซึ่งสำนึกผิดชอบชั่วดี แม้ในยามย่างเท้าลงเหยียบย่ำผู้อื่นเพื่อตะเกียกตะกายพาตนเองขึ้นสู่ที่สูงก็ตาม
…แต่ฉันกับเชลลี่ต่างออกไป…วันที่ฉันกับเชลลี่พี่สาวฝาแฝดขอโดยสารรถรับขนสินค้าระหว่างเมืองตรงทางเข้าไฮเวย์มุ่งหน้าออกจากซิเซโร่ เราทั้งคู่ต่างไม่เคยคิดฝันจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวังวนแห่งชิคาโก้เลย
จนถึงวันนี้ฉันก็ยังคงจำความรู้สึกนั้นได้ดี เท้าทั้งสองข้างของเราทั้งคู่ปวดบวมจนแทบจะก้าวเดินต่อไม่ไหวอีกแม้แต่หนึ่งก้าว เชลลี่และฉันจับมือกันแน่น ฉันรับรู้ได้ถึงแรงสั่นน้อยๆจากมือของเชลลี่ ทุกครั้งที่ใครคนหนึ่งสะดุดล้มอีกคนจะช่วยดึงมือให้ลุกขึ้นก้าวต่อไปเบื้องหน้า
สำหรับพวกเราการเดินทางออกจากเมืองเกิดในตอนนั้น ส่วนสำคัญของมันไม่ใช่จุดหมายปลายทาง เมื่อทุกย่างก้าวไม่ใช่การเดินทางตามหาความฝันเหมือนคนอื่นๆ แต่เป็นการวิ่งหนีอดีต ซึ่งเราทั้งคู่ตั้งใจทิ้งมันไว้เบื้องหลัง อดีตที่พวกเราหวังจะฝังมันไว้ในซิเซโร่ตลอดกาล หากแต่มันยังคงไล่ติดตามพวกเรามา คอยหลอกหลอนอยู่ในความทรงจำทุกครั้งที่ใจเผลอไผลหวนนึกถึง
เชลลี่และฉันตกลงกันว่าจะไม่พูดถึงมันอีก หากแต่ยิ่งเก็บงำ มันก็ยิ่งกัดกร่อนจิตใจ เมื่อต่างคนต่างก็ไม่เคยลืมว่าเราทั้งคู่ทิ้งอะไรเอาไว้เบื้องหลังไม่ว่ามันจะผ่านมากี่ปีแล้วก็ตาม…
……………………………………………….
ยามค่ำในคืนท้องฟ้าปลอดโปร่งเช่นวันนี้ เมื่อหลบออกมาห่างแสงไฟเจิดจ้าของตัวเมืองใหญ่ ผ้าห่มดวงดาวสีดำมืดราวกำมะหยี่ซึ่งโอบคลุมพลันกลับทอแสงระยิบระยับเต็มฟากฟ้า เสียแต่ท้องถนนเบื้องล่างยามนี้ปราศจากผู้คนแหงนมอง ความงามอันเรียบง่ายนี้จึงไม่มีผู้ใดเป็นประจักษ์พยาน
มันช่างเป็นเขตชานเมืองซึ่งเงียบสงบ จนกระทั่งเสียงลมกรีดอากาศหวีดหวิวเป็นเพียงสรรพเสียงเดียวที่ได้ยิน ลมหนาวปลายเดือนพฤศจิกายน พัดหอบเอาความเย็นเยียบและแห้งผาก ลอดผ่านใต้บานหน้าต่างซึ่งถูกยกแง้มไว้ประมาณหนึ่งคืบ เข้าไปในห้องสูทกว้างชั้นบนของโรงแรมกรีนเพลส
ลมหนาวไล้ผ่านผิวเปลือยเปล่าส่วนที่พ้นผ้านวมผืนนุ่มดูน่าอบอุ่นของหญิงสาวบนเตียงกว้าง ความเย็นสะท้านเป็นตัวการปลุกร่างอ้อนแอ้นไม่ต่างจากสาวน้อยวัย 19 ปีทั่วๆไปให้ตื่นจากการหลับใหล แต่ทันทีที่ขยับพลิกกายเพื่อหวังจะซุกไซร้หาไออุ่นหลบลมหนาว ความปวดระบมไปทั้งร่างพลันประท้วง จนเจ้าของร่างบอบบางเผลอส่งเสียงโอดออกมาเบาๆ ริมฝีปากอิ่มได้รูปเม้มสะกดเสียงครางของตนไว้ แพขนตายาวปรือกระพริบช้าๆอย่างเหนื่อยอ่อน
.
.
.
ทันทีที่ลืมตาตื่นมาพบว่าตนนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่ท่ามกลางความมืด คำถามแรกที่ถามตัวเองในหัวคือ… ที่นี่ที่ไหน?…
แล้วระหว่างที่สมองกำลังพยายามปะติดปะต่อความทรงจำอันเลือนลาง คำถามต่อมาก็แล่นเข้ามาในหัวแทบจะทันทีคือ …กับใคร?…
ประสบการณ์ที่ผ่านมาช่วยให้ตนหาคำตอบได้ไม่ยาก ด้วยสภาพร่างกายปวดระบมจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เป็นเครื่องบอกใบ้ให้คร่าวๆ ว่าเจ้าของเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ ซึ่งนอนทอดกายข้างๆตนในค่ำคืนนี้คงไม่ใช่ใครที่ไหน…
ฉันระบายลมหายใจออกยาวอย่างโล่งใจทันทีที่ได้คำตอบให้ตัวเอง อย่างน้อยเขาก็เป็นหนึ่งในบรรดาน้อยคนที่ฉันไว้วางใจ รอเวลาให้สายตาปรับเข้ากับความมืดซึ่งปกคลุมไปทั่วห้องได้แล้ว ค่อยเอี้ยวตัวไปมองร่างที่เห็นเป็นเพียงเงาตะคุ่ม ด้วยผิวสีน้ำผึ้งเข้มพาเอาร่างแกร่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามกำยำสมวัยหนุ่มแน่น ชวนให้สาวๆน้อยใหญ่หลงใหลนั้น แทบกลืนหายไปกับความมืด…
…จริงสิ… นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ช่วงหัวค่ำเมื่อคืนนี้ หลังเสร็จจากงานร้องเพลง …คุณท่าน… นายใหญ่แห่งลูซรอค ให้คนมารับฉันจากบาร์บลูเบล อันเป็นไนท์คลับบริเวณชั้นใต้ดินของโรงแรมแห่งนี้พาขึ้นมายังห้องสูทชั้นบนที่เปิดไว้
คุณท่านมักจะเปิดห้องค้างคืนที่นี่เพื่อประหยัดเวลาเดินทาง ในวันที่มีประชุมตอนเช้ากับคุณทิลแมนน์ และ คุณโธมัส… ไนท์ และบิชอปคนสนิทในแก๊งค์ลูซรอค รวมทั้งกับฉันด้วย…
ใครจะไปคาดคิดล่ะว่า เด็กสาวซึ่งครั้งหนึ่งเคยเนื้อตัวมอมแมม นอนอดอยากในตรอกหลังบาร์ อาศัยเพียงลังกระดาษเก่าๆบังลมหนาวเมื่อไม่กี่ปีก่อน วันนี้จะมายืนอยู่ข้างกายผู้ชี้เป็นชี้ตายของแก๊งค์ที่กำลังแผ่ขยายฐานอำนาจได้รวดเร็วอย่างลูซรอคได้
ไม่นานมานี้ใครต่อใครยังมองฉันด้วยความแปลกใจอยู่เลย เมื่อเห็นภาพของฉันควงคู่คุณท่านร่อนไปไหนมาไหนทั่วชิคาโก้ บางคนก็ออกอาการค่อนขอดด้วยความริษยา ในขณะที่หลายคนปรายตามองฉันด้วยสายตาดูแคลน หลังตีค่าความสัมพันธ์ของฉันกับคุณท่านเป็นเพียงคู่นอน คู่ควง หรือ ‘เด็ก’ ของคุณท่านอลอนโซ่
จริงอยู่ที่ฉันไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ยามปราศจากเชลลี่ ฉันเริ่มรู้สึกเคว้งคว้าง และอดีตอันเลวร้ายก็เริ่มตามมาหลอกหลอนเป็นภาพฝันยามค่ำคืนจนไม่อาจข่มตาหลับลงได้ มีก็แต่การได้ออกแรงโหมบทรักหนักหน่วงในแต่ละค่ำคืน จนร่างกายอ่อนล้าเพียงพอเท่านั้น ที่ช่วยให้ในหัวของฉันว่างเปล่าจนผล็อยหลับลงได้
แม้ความสัมพันธ์ทางกายที่มีจะเป็นเพียงการเติมเต็มความต้องการของกันและกัน หากแต่สิ่งที่ยึดเหนี่ยวผูกพันตัวฉันไว้กับบุรุษหนุ่มขี้เหงาช่างเอาแต่ใจในอ้อมกอดนี้ต่างหากที่สำคัญกว่า…
…4 ปีแล้วสินะ ตั้งแต่ลุงจอห์นสันเจ้าของบาร์บลูเบลแนะนำให้ฉันได้รู้จักกับคุณท่าน…
…4 ปีแล้วที่ตนได้หลบพักอย่างอบอุ่นปลอดภัยใต้ปีกใหญ่ของลูซรอค…
ในยามที่ตนรู้สึกเหมือนถูกทิ้ง ปล่อยคว้างกลางกระแสอันเชี่ยวกรากที่เรียกว่า ‘ชีวิต’ ถูกถาโถมด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘ความผิดหวัง’ และ ‘การหักหลัง’ ผู้ซึ่งยื่นมือลงมาฉุดร่างของฉันขึ้นไป ให้ที่พักพิง และเอื้อเอ็นดูก็คือ…คุณท่าน…
บุรุษผู้เปรียบประดุจเตาผิงอันอบอุ่นในฤดูหนาว ดั่งโอเอซิสกลางทะเลทราย และเป็นคนผู้เดียวที่ฉันเลือกจะฝากชีวิตไว้ในเวลานี้… คนผู้เดียวที่เชื่อมั่นและผลักดันตัวตนแท้จริงของฉันให้ขึ้นสู่จุดสัมผัสกับคำว่า ‘อำนาจ’ เพื่อให้ได้มาซึ่งความปรารถนาที่ฉันเคยละทิ้งมันไปนานแล้ว พร้อมๆกับการหายตัวไปของเชลลี่
…จุดที่ชื่อของ…เชน เบรนิก… จะถูกจดจำในนามของ …‘ควีนแห่งลูซรอค’…
.
.
.
ฉันไม่รู้เลยว่าตัวเองผล็อยหลับไปอีกครั้งตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้สึกตัวอีกทียามตอหนวดสากกร้านบนใบหน้าคนที่นอนกอดกันอยู่ขยับเข้ามาซุกซบ ฉันครางอืมพลางบิดกายแผ่วเบาในอ้อมกอดอบอุ่นของอีกฝ่าย ลมหนาวพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างพอให้กายสั่นสะท้าน จนต้องขยับเบียดร่างของตนแนบกอดแผ่นอกแน่นอันเปลือยเปล่าของชายหนุ่มเข้าไปอีก
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณท่าน” ฉันเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม เมื่อลืมตามาสบเข้ากับดวงตาสีดำขลับซึ่งมองมาอยู่ก่อนแล้วของอีกฝ่าย ริมฝีปากหยักได้รูปเบื้องหน้าเย้ายวนให้จรดสัมผัสลงอย่างห้ามไม่อยู่ นิ้วเรียวลูบไล้ปลุกเร้าคนงัวเงียตรงหน้าให้ตื่นตัวขึ้นมารับไออุ่นยามอรุณรุ่ง หากแต่สัมผัสนั้นคงเกินเลยไปบ้างสำหรับคนหนุ่มวัยกำหนัดอย่างอลอนโซ่ สัมผัสตอบรับจึงกลับมาอย่างร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายซึ่งผ่านค่ำคืนอันหนักหน่วงยังคงอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน ได้แต่เกาะกุมร่างแกร่งไว้แน่นอย่างต้องการการยึดเหนี่ยว แต่ละสัมผัสพาเอาทั้งร่างเกร็งกระตุกอย่างรุนแรงด้วยความเจ็บปวด…
…กริ๊งงงงงง….. กริ๊งงงงงงงง…
ฉันหลุดจากภวังค์ทันทีที่เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะหัวเตียงดังแทรกขึ้นระหว่างกิจกรรมรักยามเช้า
…คงจะเป็น…ทอม… คิดได้เพียงเท่านี้ ในหัวก็พลันว่างโล่งอีกครั้ง ร่างกายเคลื่อนไหวเป็นจังหวะไปตามอารมณ์เร้า เสียงครางของตนเองดังก้องในหัวกลบเสียงสนทนาระหว่างปลายสายไปหมดสิ้น
…เชลลี่…
…แปลกดี… ทุกครั้งที่ความรู้สึกเจ็บปวดแผ่ซ่าน… ฉันรู้สึกเหมือนได้สัมผัสเธออีกครั้ง…ร่างกายที่บิดเร่าทรมานอยู่ในตอนนี้…มันเหมือนไม่ใช่ร่างกายของฉัน… ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ความเจ็บปวดเป็นเพียงวิธีเดียวที่ทำให้ฉันได้รู้สึกเหมือนได้สัมผัสเธออีกครั้ง…
…อา…เชลลี่…
…ฉัน…คิดถึงเธอ…
……………………………………………….
โรงแรมกรีนเพลส เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวด้วยความสูงเพียง 4 ชั้น ตั้งอยู่ในย่านชานเมืองชิคาโก้ซึ่งผู้คนไม่พลุกพล่านนัก ภายนอกตกแต่งเพียงเรียบๆ แต่ภายในค่อนข้างหรูหรา ดูน่าสบายพอสมควร อาจเพราะมันไม่จำเป็นต้องง้อรายได้จากแขกขาจรซึ่งมาเข้าพักมากนัก ด้วยกระแสรายได้หลักที่ไหลผ่านบัญชีไม่ขาด คือรายได้ของธุรกิจอื่นๆภายใต้การบริหารของลูซรอค
สำหรับที่นี่การบริหารจัดการแบ่งออกเป็นสามส่วนหลักๆคือ การบริการด้านโรงแรมห้องพัก ห้องอาหาร และบาร์ซึ่งอยู่ชั้นใต้ดิน
ส่วนของห้องอาหาร มีการแบ่งเป็นห้องอาหารเล็กซึ่งแยกไว้เป็นสัดส่วน ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวสูง จึงมักถูกใช้เป็นห้องประชุมและคุยงานของคนในแก๊งค์ลูซรอค
คุณท่านและฉันลงมานั่งทานอาหารกันได้ไม่นาน ไนท์ก็ปรากฏตัว ทักทายกันพอหอมปากหอมคอ บิชอปก็ปรากฏตัวตามมา เนื้อหาของการพูดคุยในเบื้องต้นเป็นการอัพเดทสถานะในปัจจุบัน แต่พอพูดถึงการขยายตลาดไปจับพวกแอลกอฮอร์ และการหาหน้าร้านใหม่ๆเพื่อขยายกิจการค้ามนุษย์ที่ถูกเปลี่ยนไปเรียกให้ฟังดูดีว่า… ‘การซื้อขายบุคคล’…ผู้ร่วมประชุมก็ลอบมองคุณท่านเป็นตาเดียว
“…ดูท่าจะรอแต่ให้คนติดต่อเข้ามาคงไม่ไหว เลยว่าจะเปิดหน้าร้านเพิ่มอีกสักแห่งจัดขายของเราเอง อยากให้ไปสำรวจตึกดีๆ สวยๆ ให้หน่อย แล้วก็เชน ฝากเคลียร์สินค้าทีนะ”
คุณท่านหันมาสั่งงานเรียบๆ ฉันเองก็รับคำเพียงสั้นๆ ด้วยความเคยชิน
“ได้ค่ะ”
ในฐานะคนที่เรียนมาน้อยอย่างฉัน การได้อยู่ใกล้ๆคุณท่านทำให้ฉันมองและเห็นโลกได้กว้างไกลออกไป หลายต่อหลายครั้งบอสใหญ่ของลูซรอคได้แสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจอันเฉียบขาดและชาญฉลาด รวมถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ขัดกับท่าทางที่ดูเรื่อยๆเป็นกันเอง และเหมือนไม่ใส่ใจในงานสักเท่าไหร่ที่เคลือบฉาบไว้ ฉันจึงไม่แปลกใจเลยถ้าจะมีใครมองข้ามหรือประมาทมีดคมกริบที่ซ่อนอยู่ในฝัก อย่างคุณท่านอลอนโซ่
“เรื่องแอลกอฮอล์…ฉันถือว่าตัดสินใจสตาร์ทช้าไปเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ว่ากันตามตรงฉันไม่นึกว่ากฎหมายตลกๆ นั่นจะอยู่ได้นานหลายเดือนขนาดนี้ แต่ไหนๆ มันก็สามารถขนส่งและนำเข้าง่ายกว่าโคเคน ฉันจึงจะทำธุรกิจนี้เพิ่มอีกสักอย่าง เช่นกัน…ฉันอยากได้บาร์สวยๆ สักแห่ง มาเป็นแหล่งระบายสินค้าด้วย … ทิล นายไปสำรวจเรื่องอาคารสำหรับงานแรก ทอม นายไปดูเรื่องบาร์สำหรับงานที่สอง ส่วนเชน ถ้าเสร็จงานเคลียร์สินค้าแล้วก็ไปรวมกลุ่มกับทอม”
เมื่องานที่สองที่ฉันได้รับมอบหมายต้องประสานงานกับทอม เราจึงหันไปหารือกันคร่าวๆในรายละเอียดระหว่างคุณท่านกำลังแจกแจงรายละเอียด และตอบข้อซักถามของทิลแมนน์ ถึงงานในส่วนซึ่งไนท์จะเป็นหัวหน้าทีมในการดำเนินการ
“เรื่องบาร์ จะเอาที่ลับตาคนแต่ขายเปิดเผยหรือขายอย่างอื่นบังหน้าดีครับ” ทอมเอ่ยถามขึ้น
“เปิดเผยไม่ดีหรอก ค่าส่วยจะแพงขึ้น” คุณท่านตอบก่อนทำหน้าหน่าย
ทอมพยักหน้าช้าๆคล้ายกำลังใช้ความคิด
“งั้นก็ต้องปรับร้านนิดหน่อย…น่าจะหาที่ทำเลดีๆได้แหละครับ”
“จะรอดูนะ” คุณท่านตอบรับสั้นๆ ก่อนจะยิ้มฮิให้ แปลความง่ายๆก็คือไปทำมาให้เสร็จๆนั่นแหละ
“ถ้าเช่นนั้น… ไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวไปดำเนินการ เรื่องการกำจัดขยะนะคะ” เมื่อรับทราบการแจกงานเสร็จ ฉันก็ขยับทำท่าจะลุกไปซะเดี๋ยวนั้น ตามประสาคนใจร้อน อยากจะทำให้มันเรียบร้อยโดยไว
“ฮะฮะ เอาสิ โปรเจคส่งท้ายปลายปีฉันก็ประมาณนี้ล่ะ ถ้ามีเรื่องอะไรติดขัดให้รีบกลับมาบอก”
ฉันลุกขึ้นยืน หันไปยิ้มให้คุณท่านก่อนโน้มลงจรดริมฝีปากลงบนริมฝีปากอีกฝ่ายเบาๆ เป็นเชิงลา ก่อนจะหมุนตัวก้าวเดินไปทางประตู ฉันสบตาและก้มศีรษะนิดนึงเป็นเชิงขอตัวกับทอมและทิล ก่อนเปิดประตูห้องออกไป
…งานที่ฉันได้รับมอบหมายจากคุณท่านไม่ว่าเรื่องใด… ต้องไม่มีคำว่าพลาด…
……………………………………………….
ฉันกับทอมแบ่งกันมอบหมายงานให้กับสมาชิกในทีม ถึงจะเรียกว่าทีมทำงานแต่ส่วนใหญ่แรงงานที่ลูซรอคเลือกใช้ก็มักเป็นเด็กๆ วัยหนุ่มสาวที่โตมากับมูลนิธิเป็นส่วนใหญ่ หนึ่งในนั้นก็คือ ครูซ ซีโน่
ฉันยืนล้วงกระเป๋ากางเกงสแลคอยู่ข้างสนามหญ้าของมูลนิธิ ตามองตามเด็กหนุ่มวัยรุ่นอายุไม่เกิน 15 – 16 ปี ผมสีน้ำตาลเข้มซึ่งกำลังวิ่งเลี้ยงบอลหลบฝ่ายตรงข้ามไปมาอย่างคล่องแคล่ว ดวงตาสีฟ้าของเขาส่องประกายสดใส น่าเสียดายที่วัยเยาว์อันเต็มไปด้วยความสนุกสนานและสดใสเป็นเหมือนกระแสน้ำซึ่งมีแต่จะไหลผ่านไป ก่อนทิ้งตัวลงจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ
ไม่มีใครหรอกอยากได้ชื่อว่าเป็นคนร้าย ซึ่งพรากเอาความฝันและความเดียงสาของเด็กเหล่านี้ไป มีก็แค่ความเป็นจริงของชีวิตที่ผู้คนต้องดิ้นรน เพื่อให้ตนอยู่รอดได้ต่างหากที่เราควรกล่าวโทษมัน
รอจนดวงตาสีฟ้าใสหันมาสบกัน ฉันจึงยกมือขึ้นกวักเรียกอีกฝ่าย เด็กชายหันไปโบกมือเป็นเชิงขอตัวเพื่อนๆในสนามก่อนวิ่งตรงมาหา
“คุณเชน ?” อีกฝ่ายเอ่ยทัก ปลายเสียงสูงแสดงความแปลกใจกับการมาหาอย่างเจาะจงของฉัน
ฉันเพียงยกยิ้มบางตอบรับ ก่อนตรงเข้าประเด็นอย่างไม่มีพิธีรีตองนัก
“มีงาน… นายพร้อมได้เร็วสุดเมื่อไหร่น่ะครูซ?”
“งานด่วนเหรอครับ ? จริงๆผมก็กำลังว่างอยู่พอดี ไปเตรียมตัวตอนนี้ก็น่าจะพร้อมเลยครับ”
ฉันหัวเราะเบาๆอย่างพอใจกับคำตอบ… การทำงานกับเด็กๆมีข้อดีก็ตรงนี้… ความกระตือรือร้นจนเราสามารถได้กลิ่นอายของความตื่นเต้นและสนุกสนาน ไม่ว่ามันจะเป็นงานโสมมขนาดไหนก็ตาม
“ไม่ด่วนขนาดนั้นหรอก นายพักเคลียร์ตัวเองให้เรียบร้อยก่อนก็ได้ แล้วตามไปเจอฉันที่ห้องทำงานแล้วกัน”
ฉันตบบ่าครูซเบาๆ ก่อนหันเดินกลับเข้าไปรอในตัวตึกของมูลนิธิซึ่งมีห้องทำงานของฝ่ายบริหารจัดการงานของแก๊งค์ลูซรอคอยู่
ยังไม่ทันหย่อนตัวนั่ง เสียงฝีเท้าอีกฝ่ายก็เดินตามหลังเข้ามาแทบจะทันที
“งานเกี่ยวกับอะไรเหรอครับ ?”
ฉันหันไปมองตาปริบๆกับสภาพอีกคนซึ่งเนื้อตัวยังคงมอมแมมในสภาพเดิม เพียงแค่ผมเผ้าที่โดนลมเมื่อครู่ถูกจัดให้เข้ารูปขึ้นเล็กน้อย
…เด็กผู้ชาย…
ฉันระบายลมหายใจยาว ก่อนจะยิ้มอ่อนอย่างไม่ถือสาอะไรนัก ฉันเลือกหยิบเอกสารจากแฟ้มงานที่เตรียมไว้บนโต๊ะ แล้วลุกขึ้นเดินนำอีกคนเข้าไปในห้องประชุมเล็กด้านในซึ่งบัดนี้ว่างอยู่ พลางสั่งอีกคนโดยไม่ได้หันไปมองด้วยซ้ำ
“ปิดประตูล็อคด้วยครูซ”
ฉันเลือกนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง หยิบแผนที่เมืองชิคาโก้และข้อมูลของบาร์เป้าหมายที่ได้จากทอมออกมากางบนโต๊ะ
“นั่งสิ…” ฉันเอ่ยเชิญและครูซก็ขยับมานั่งข้างๆ
“งานลงพื้นที่เหรอครับ?”
“อื้ม… คุณท่านอยากขยายกิจการ เป็นไปได้ก็อยากจะได้บาร์สักแห่งมาเพิ่มเป็นฐานธุรกิจน่ะ ทางทิศตะวันตกของพื้นที่ในความดูแลของลูซรอคมีบาร์ที่น่าสนใจอยู่แห่งนึง ชั้นอยากให้นายเข้าไปสำรวจ หาข้อมูลมาให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้”
“มีระยะเวลาให้เท่าไหร่น่ะครับ?”
ฉันอดยิ้มกับคำถามอีกฝ่ายไม่ได้ ดวงตาที่รีลงแฝงแววเจ้าเล่ห์นิดๆก่อนตอบด้วยเสียงกลั้วขำเบาๆในลำคอ
“ขึ้นกับฝีมือน่ะครูซ… เอาเข้าจริงคืนนี้พวกเราหลายคนคงไปรวมตัวกันที่นั่นเพื่อดูลาดเลากันก่อน นายไปหาทอมที่บาร์ได้เลย ชั้นมีงานต้องทำก่อนอาจจะไปถึงช้าหน่อย”
“เอ๋ มีใครบ้างน่ะครับ? ถ้าขึ้นอยู่กับฝีมือ…ผมขอใช้คนอื่นๆช่วยหาข้อมูลด้วยได้มั้ยน่ะครับ รึว่าเรื่องนี้เป็นความลับ?”
ฉันขยับนิ้วเรียวลูบริมฝีปากยามใช้ความคิด
“นายไปคนเดียวดีกว่า งานนี้เราล้ำเขตไปใกล้เจโนเวซี่ ชั้นไม่อยากให้เรื่องไปเข้าหูทางนั้น คงจะใช้แค่คนของลูซรอคเท่านั้นจะดีกว่า”
ฉันตัดสินใจบอกปัด ส่วนหนึ่งตามเหตุผลที่บอกไป อีกส่วนหนึ่งเพราะเป็นสไตล์การทำงานของฉันที่ไม่ชอบให้มีคนรู้มากเกินไป นิสัยไม่ยอมไว้ใจใครของฉันมันฝังรากลึกจนเกินแก้ไปเสียแล้ว
“ครับ ต้องเตรียมตัวเผื่อการปะทะด้วย…” เด็กหนุ่มรับคำขณะสายตายังมองดูแผนที่
ฉันนึกสะกิดใจบางอย่างจึงเอ่ยถาม
“ปกตินายใช้อาวุธอะไร?”
“เอ่อ…มันไม่ใช่ของดีอะไรหรอกครับ มันเก่านิดหน่อยเพราะผมได้มาตอนผม 9 ขวบน่ะครับ”
ครูซหยิบมีดพกที่เก็บเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงออกมาให้ดู และวางลงบนมือเมื่อฉันขอดู รับมาแล้วฉันก็ลองกะน้ำหนัก และหมุนมองอย่างสนใจ
“ของดูต่างหน้าใครบางคนหรือเปล่า?”
ฉันเปรยถามลอยๆ แต่ลอบสังเกตเอาจากท่าทางของอีกฝ่าย ครูซเงยหน้าขึ้นมองฉันด้วยสีหน้าตกใจก่อนตอบเสียงแปร่งแปลกนิดๆ คล้ายเจ้าตัวกำลังพยายามข่มเสียงให้เป็นปกติมากที่สุด
“คุณ…แม่…น่ะครับ…คุณแม่ให้ผมมา”
“ขอโทษที ทำให้ลำบากใจรึเปล่า? ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวไม่จำเป็นต้องเล่าหรอกนะ”
ฉันตัดบทให้ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง พร้อมยื่นมีดพับคืนเด็กหนุ่ม ไม่ว่าใครก็มีเรื่องที่ไม่อยากจะเอ่ยถึงเป็นธรรมดา และฉันก็เข้าใจเรื่องนั้นดีและเคารพที่จะไม่ล่วงล้ำในความเป็นส่วนตัวนั้น
“ไม่เป็นไรหรอกครับ…จริงๆมันก็แค่ของเก่าๆขอแค่ยังใช้งานได้ก็พอ” อีกฝ่ายหัวเราะอย่างสบายใจขึ้นพร้อมเก็บมีดคืนใส่ในกระเป๋า
“อืม… อาจมีการปะทะได้ ชั้นอยากให้นายระวังตัวให้มากเราเป็นแก๊งค์เล็กๆ ไม่จำเป็นก็ไม่อยากให้เปิดศึกกับใครโดยไม่จำเป็น การใช้ความรุนแรงจะเป็นทางเลือกสุดท้ายเข้าใจไหมครูซ?”
ฉันวางมือลงบนผมเด็กชายเบาๆอย่างอ่อนโยนแต่ก็หนักแน่นพอ จะถ่ายเทความอบอุ่นจากฝ่ามือไปที่อีกคน
“ครับ จะพยายามระวังครับ”
ฉันลดมือลง แต่เปลี่ยนมานั่งเท้าคางมองอีกฝ่าย
“คนของลูซรอค ถือเป็นครอบครัวเดียวกัน ชั้นอยากให้นายรู้ไว้ ว่าความปลอดภัยของทุกคนคือสิ่งที่ชั้นให้ความสำคัญที่สุด”
คำพูดหวานหู… ความห่วงใยราวกับครอบครัว สิ่งที่เด็กเหล่านี้ขาด… ที่ฉันทำก็แค่เติมตัวเองลงไปในช่องว่างของจิ๊กซอว์เหล่านั้น ฉันรู้มานานแล้ว…ว่าการถูกเติมเต็มในสิ่งที่โหยหานำมาซึ่งความรักและภักดีง่ายดายเพียงใด…
“ครับ ผมเองก็หวังว่าจะไม่มีการปะทะอะไรเกิดขึ้น…ในทีมนอกจากคุณทอมแล้วคนอื่นๆล่ะครับ?”
“ไปถึงแล้วก็รู้เองนั่นล่ะ” ฉันยิ้มให้แทนคำตอบ ยังไงซะการมอบหมายงานของตนก็มักไม่ให้ข้อมูลเกินความจำเป็นอยู่แล้ว มือเอื้อมไปเปิดแฟ้มหน้าที่มีข้อมูลเก่าเบื้องต้นของบาร์ที่เป็นเป้าหมาย แล้วเลื่อนไปตรงหน้าอีกฝ่าย “มีอะไรอย่างอื่นสงสัยอยากถามไหม?”
“ไม่ครับ เอ่อ…ผมอ่านหนังสือไม่ออก ถ้าเป็นไปได้ขอเป็นพวกแผนที่บาร์ได้มั้ยครับ ?”
ฉันรับคำแล้วดึงแฟ้มเอกสารกลับมาเปิดหาหน้าแผนที่ แล้วยื่นให้ใหม่ ปัญหาหนึ่งของเด็กๆในลูซรอคก็คือเรื่องความรู้ และทักษะการอ่านเขียน แม้แต่ฉันเองก็อ่านออกเขียนได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น…บางทีฉันน่าจะลองเสนอคุณท่านให้ทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้… ความคิดเล็กๆไหลผ่านเข้ามา
“ชั้นมีบางอย่างต้องทำก่อนไปที่บาร์ ถ้าไม่มีอะไรแล้วพบกันคืนนี้…ครูซ…”
จบคำฉันก็ขยับลุกจากเก้าอี้ ปล่อยให้อีกคนใช้เวลาดูข้อมูลในแฟ้มเอกสารที่เตรียมไว้ให้ต่อ
“ครับ ขอให้งานที่ไปทำราบรื่นนะครับ คุณเชน”
คำอวยพรที่ไม่ค่อยได้ยินเรียกให้ตนชะงักไปนิด จึงหันไปยิ้มให้เด็กหนุ่ม แล้วเอามือขยี้ผมอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู “…ขอบใจ…”
ครูซหลับตาลงด้วยท่าทางตกใจ ก่อนจะคลี่ยิ้มให้ รอยยิ้มที่ทำเอาฉันนึกภาพไม่ออกเลยจริงๆ สีหน้าของเด็กคนนี้ยามต้องฆ่าใครสักคน… ฉันกระดิกนิ้วดีดเหม่งเจ้าเด็กหน้าละอ่อนดังเพี๊ยะไปทีอย่างนึกหมั่นไส้
“ยิ้มแล้วน่ารักดีนี่ ฮะๆๆ”
ฉันเอ่ยแซวอย่างอารมณ์ดีขึ้น ขณะที่คนถูกดีดผงะถอยหลังแล้วลูบหน้าผากป้อย
“โดนผู้ชายด้วยกันชมว่าน่ารักนี่มันแปลกๆนะครับ”
…อา… หมอนี่ยังไม่รู้สินะว่าฉันคือเชลลี่…
แม้จะรู้ว่าหลายคนในแก๊งค์ยังไม่รู้เรื่องที่ เชนและเชลลี่ คือคนเดียวกัน แต่ตนก็ไม่คิดจะให้ความลับนี้กระจายออกไป แม้ที่ผ่านมาจะไม่ถึงกับปิดบัง แต่การปล่อยให้ใครต่อใครเข้าใจว่าคนที่ร้องเพลงอยู่บนเวทีของบาร์บลูเบลคือเชลลี่ก็เป็นข้อดีมากกว่าข้อเสีย การถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กหนุ่ม หรือเป็นคนละคนกันกับเชลลี่ จึงไม่ใช่เรื่องที่ตนใส่ใจจะแก้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“น่ารักก็บอกน่ารัก ชั้นไม่ชอบโกหกนี่”
“ปกติคำว่าน่ารักเขาเอาไว้ใช้กับเด็กผู้หญิงแต่ผมเป็นผู้ชายนะครับ จริงๆต้องบอกว่าเท่ห์สิ” อีกฝ่ายพยายามให้เหตุผลอย่างจริงจังจนฉันเองนึกขำ
…บางที ถ้าฉันมีน้องชายสักคน…จะเป็นยังไงนะ…
“แค่ยิ้มเนี่ยนะ จะให้ชมว่าเท่ห์” ฉันแกล้งเอียงคอมองอย่างกวนๆ
“ไว้… ทำอะไรที่มันเท่ห์ๆแล้วค่อยมาแก้ละกัน… ระหว่างนี้นายก็…น่ารักไปซะ”
ฉันสรุปให้อย่างเอาแต่ใจแล้วพาลนึกไปถึงคุณท่าน… บางทีโรคเอาแต่ใจอาจจะเป็นโรคติดต่อ…
“ขี้โกงนี่นา คอยดูเถอะไว้สักผมอายุ 20 ผมจะสูงกว่าแล้วก็เท่ห์กว่าให้ดู”
เด็กหนุ่มยังคงเถียงอุบอิบอย่างไม่ยอมแพ้ แต่โดนฉันซึ่งกอดอกมองตอบ ทำหน้าเบื่อใส่
“อีกตั้งหลายปีนี่นะ ต้องรอถึง20เลยเหรอ?”
“ก็ถ้าเป็นตอนที่ 20 แล้วก็เป็นผู้ใหญ่ ตัวก็น่าจะสูงกว่านี้ แถมปกป้องพวกผู้หญิงได้ตอนนั้นก็น่าจะเรียกว่าเท่ห์ได้ล่ะ” คนตอบยู่หน้า
“…. ลองคิดสิ่งที่ทำได้ตอนนี้มาสิ… เป็นการบ้าน” รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของฉันก่อนตัดสินใจผละจากอีกฝ่ายเดินไปที่ประตู ประโยคที่ตัดสินใจไม่พูดออกไปในตอนนั้นแต่มันดังก้องอยู่ในหัวฉัน
…การปกป้องคนสำคัญน่ะ… ไม่ต้องรอถึงอายุ 20 หรอกครูซ… เมื่อนายพร้อม… พร้อมที่จะแปดเปื้อนและรับสิ่งแล้วร้ายทั้งหมดไว้ที่ตัวนายได้ก็พอ…
……………………………………………….
ก่อนจะแวะไปจัดการงานที่ได้รับมอบหมายบริเวณท่าเรือช่วงค่ำวันนี้ ฉันแวะไปหาลีโอ เด็กสาวห้าวๆที่ดูจะมีอะไรคล้ายๆฉันอยู่มาก หากแต่อีกฝ่ายดูจะพูดน้อยและเก็บตัวอยู่สักหน่อย ซึ่งฉันถือเป็นข้อดีสำหรับงานที่ต้องการให้เป็นความลับ ครั้งนี้คุณท่านสั่งลงมาอย่างเจาะจงให้พาเด็กคนนี้ไปลองงาน แน่นอนว่าถ้าไม่ผ่านก็หมายถึงกำจัดทิ้งได้ทันที…
ลีโอมักจะใช้เวลาอยู่ที่โบสถ์เพื่อเรียนหนังสือกับบาทหลวงในช่วงเช้า ฉันนั่งรอตรงม้านั่งฝั่งตรงข้ามโบสถ์พร้อมกับขนมปังหนึ่งก้อนในมือสำหรับบิโปรยให้นกพิราบ นั่งให้อาหารนกฆ่าเวลาเพลินๆ เสียงเด็กๆเจี๊ยวจ๊าวยามพากันออกมาจากโบสถ์เรียกให้ตนเงยหน้าขึ้นมอง เด็กส่วนใหญ่ที่มาเรียนที่นี่อยู่ในวัยเล็กกว่าลีโอมาก ทำให้ร่างผอมบางของอีกฝ่ายสังเกตเห็นได้ไม่ยากนัก พออีกฝ่ายประสานสายตามาตนจึงยิ้มให้ ยกมือทักทายนิด แต่ไม่ได้ลุกไป เพียงแค่นั่งรอจนอีกฝ่ายเดินข้ามถนนมาหา
“พี่มาทำอะไรแถวนี้น่ะฮะ?”
“มาหาลีโอนั่นล่ะ นั่งสิ” ฉันตีที่ว่างบนม้านั่งข้างๆตัวเป็นเชิงเรียกให้อีกฝ่ายนั่งลง
เด็กสาวเบื้องหน้าที่แต่งเนื้อแต่งตัวคล้ายเด็กผู้ชาย เอียงคอมองงงๆ ก่อนนั่งลงข้างๆอย่างว่าง่าย
“มีเรื่องอยากให้ช่วยน่ะ… งานลงพื้นที่…อาจจะอันตรายบ้างนิดหน่อย นายพร้อมได้เร็วสุดเมื่อไหร่?”
แม้จะพูดว่าให้ช่วย แต่ก็ฟังดูไม่มีทางเลือกให้อีกฝ่ายได้ปฏิเสธมากนัก
“ได้ทุกเมื่อฮะ” เด็กสาวตอบทันทีด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงห้าวๆแบบเด็กผู้ชาย
ฉันยิ้มกว้างพอใจกับคำตอบ วางมือลงบนเรือนผมสีน้ำตาลเข้มของอีกฝ่ายแล้วขยี้เบาๆอย่างเอ็นดู
“ดี… งั้นคืนนี้ไปที่บาร์ โอลิเวียร์ แอนด์ มาร์คอฟ ทางตะวันตกรู้จักไหม?”
ฉันเอ่ยถาม รอจนอีกคนพยักหน้ารับ จึงค่อยอธิบายต่อ
“ทอมจะรออยู่ที่นั่น พกอาวุธที่นายมีไปด้วยแต่อย่าให้เอิกเกริก ห้ามบอกใครทั้งนั้น ทำได้ใช่ไหม?”
ระหว่างที่คุยอยู่มีผู้ปกครองเด็กหลายคนที่มารับลูกหลานหันมามอง ตนจึงยื่นขนมปังในมือแบ่งให้คนข้างๆ บิโปรยให้นกพิราบบ้าง
“ครับ…” ลีโอตอบรับสั้นๆ แล้วรับขนมปังไปทำแบบเดียวกัน
ความเงียบจนคาดเดาได้ยากทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“มีอะไรหนักใจรึเปล่า ลีโอ?”
อีกคนส่ายหัวพลางยิ้มตอบบางๆ
“ไม่มีอะไรฮะ แค่คิดว่างานนี้คงต้องพยายามหน่อย”
“…อันที่จริง… ถ้าพร้อมตั้งแต่ตอนนี้ ไปช่วยงานฉันที่ท่าเรือก่อนไหม?”
ฉันทำทีเป็นเอ่ยชวนทั้งที่ตั้งใจจะพาอีกคนไปทำงานนี้ด้วยกันแต่แรกแล้ว
“เอาสิฮะ”
ลีโอตอบรับอย่างกระตือรือร้นมากจนฉันเริ่มเป็นห่วงขึ้นมาจริงๆ จึงค่อยเอนหน้าไปใกล้ใบหน้าอีกฝ่ายเอ่ยถามเสียงเบาเท่าเสียงกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน ทั้งที่บริเวณใกล้ๆนั้นก็ไม่มีบุคคลอื่นอยู่แม้แต่คนเดียว
“เคยฆ่าคนรึเปล่า?”
คำถามนั้นเรียกแววตาไหววูบของเด็กสาววัยเยาว์เบื้องหน้าฉันได้ชะงัดนัก ก่อนเจ้าตัวจะส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ฮะ..”
“ถ้าต้องทำทำได้รึเปล่า?”
ลีโอนิ่งคิดพักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าตอบ “…ผมว่าผมทำได้”
ฉันนึกเอ็นดูและพอใจกับคำตอบของอีกฝ่าย เด็กสาวในวัย 17 ปี ต่อให้ดูห้าวเพียงใดข้างในก็ยังคงเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งเท่านั้น ยิ่งถ้าไม่ใช่คนที่ผ่านเรื่องราวร้ายๆมาล่ะก็… เมื่อเทียบกับการต้องฆ่าใครสักคน…มันคงไม่ใช่เรื่องที่ทำใจยอมรับได้ง่ายๆ
“ไม่กลัวเหรอ?”
“กลัว…แต่ถ้าไม่ทำ ผมเองก็จะเป็นฝ่ายที่ตาย…” เด็กสาวพยักหน้ารับก่อนเงยหน้าสบตาของตน แววตาสีฟ้าของลีโอในตอนนั้นเป็นแววตาที่ทำให้ฉันเหมือนได้คำตอบสำหรับตัวเอง…
…ใช่แล้วล่ะลีโอ… นี่คือโลกใบนี้…
“อื้ม… ตัดสินใจซะตั้งแต่ตอนนี้ ว่าจะเป็นผู้ล่า หรือจะเป็นผู้ถูกล่า ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้เลือก”
ฉันยกมือขึ้นลูบแก้มอีกฝ่ายด้วยหลังมืออย่างอ่อนโยน
…เพราะโลกใบนี้เป็นเช่นนี้… มันไม่มีเวลาให้มัวนั่งรอฟ้าฝน กล่าวโทษสิ่งใด มีเพียงการก้าวไปข้างหน้า ผู้ที่เข้มแข็งกว่าจะอยู่รอด… ฉันเองก็เชื่อเช่นนั้น
……………………………………………….
ทันทีที่ฉันกับลีโอลงจากรถ ลมเย็นเยียบพัดกรรโชกแรงจนเราทั้งคู่แทบจะถูกลมหอบปลิวล้ม ฉันเกร็งมือกุมกระชับเสื้อโค้ทหนาตัวยาวซึ่งยามนี้แทบไม่ช่วยให้ร่างกายรู้สึกอบอุ่นขึ้นสักนิด เหลือบตามองร่างผอมบางที่มาด้วยกันก็นึกสงสารขึ้นมา กำลังนึกจะเปิดเสื้อโค้ทให้อีกคนได้เข้ามาหลบลมหนาวด้วยกัน แต่ก็ยั้งใจไว้
…อะไรก็ตามที่ไม่ได้ฆ่าคุณ มันทำให้คุณเข้มแข็งและแกร่งขึ้น…
มันเป็นคำพูดซึ่งใครบางคนเคยกล่าวไว้… และความหนาวเย็นในเวลานี้ก็เป็นหนึ่งในบททดสอบของลีโอเช่นกัน สองเท้าของฉันเดินนำ พาเด็กสาวตัวผอมเดินย่ำเข้าไปใกล้จุดนัดพบกับลุงจอห์นสัน ทั้งที่ลืมตาแทบไม่ขึ้นแต่ฉันก็จดจำเงาร่างของอีกฝ่ายได้แม่นยำ
ลุงจอห์นสันยืนสูบไปป์อยู่กับชายมีอายุอีกสองสามคน เมื่อทางนั้นเห็นพวกเราก็หยุดการสนทนาหันมามองเงียบๆ ไม่มีการเอ่ยทักทายหรือพูดคุยเกินความจำเป็น ทันทีที่ฉันกับลีโอเข้าไปสมทบ เราทั้งห้าคนก็มุ่งหน้าตรงไปยังเรือสินค้าซึ่งจอดเทียบท่าอยู่ใกล้ๆ
เรือสินค้าลำนี้ภายนอกดูไม่ต่างจากลำอื่นๆแต่อย่างใด ที่ต่างคือบรรยากาศโดยรอบในยามนี้ต่างหาก ความเงียบจนวังเวง และแสงไฟโดยรอบที่ถูกเปิดใช้เพียงบางส่วนเท่านั้น
.
.
.
“… สินค้า?” ฉันเอ่ยถามสั้นๆ พยายามไม่ให้เสียงพูดสั่นจนจับใจความไม่ได้ แม้จะเข้ามาในตัวเรือแล้วแต่ร่างกายซึ่งผจญลมหนาวจนแทบแข็งก็ยังคงเคลื่อนไหวไม่ได้ดั่งใจนัก
“อยู่ใต้ท้องเรือ… อีกสองคันรถกำลังมา” ลุงจอห์นสันตอบ
ฉันพยักหน้ารับรู้สาวเท้ายาวๆลงไปด้านล่างเป้าหมายคือห้องใต้ท้องเรือ
ยิ่งเข้าใกล้เสียงร้องไห้โยเยก็ยิ่งดังลอดออกมาชัดขึ้นเรื่อยๆ ฉันก้มตัวมองลงไปยังฝาประตูห้องที่ดูคล้ายประตูห้องใต้ดินซึ่งอยู่ที่พื้น ในห้องแออัดเบียดเสียดไปด้วยสิ่งมีชีวิตเล็กๆซึ่งไร้ทางสู้ แต่ละคนสะอื้นไห้ด้วยทนหิวและทนหนาวมาหลายวันแล้ว ซ้ำยังต้องพยายามหาพื้นที่ที่พอจะมีอากาศหายใจอีก
ฉันมองผ่านๆไปรอบๆ คาดคะเนจำนวนสินค้าซึ่งกำลังตามมาอีกระลอก สินค้าเหล่านั้นจะถูกจับมาโยนอัดลงไปในห้องอันแออัดนี้ แน่นอนว่าพวกเขาต้องการเพียงพื้นที่ให้ยัดร่างกายของตัวเองเข้าไปให้ได้เท่านั้น เมื่อห้องใต้ท้องเรือนี้ถูกปล่อยน้ำเข้าไปจนเต็ม พวกเขาก็ไม่ต้องการความสะดวกสบายอันใดอีก ไม่ต้องการแม้แต่อากาศจะหายใจด้วยซ้ำ
ฉันปรายตามองไปทางลีโอ ภายใต้ใบหน้าซึ่งยังคงเรียบนิ่งและความเงียบงันนั้น ทำให้ตนประเมินสภาพจิตใจของอีกฝ่ายลำบาก ไม่แน่ใจว่าเด็กสาวซึ่งยืนอยู่ข้างๆตน เข้าใจแค่ไหนกับสิ่งซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นกับร่างเล็กๆเรียงรายตรงหน้า ที่ถูกเรียกและมองเป็นเพียงสินค้า
คนของท่าเรือซึ่งรับสินบนจากพวกตนชะโงกเข้ามาแจ้งการมาถึงของสินค้าล็อตสุดท้ายซึ่งจะถูกนำไปกำจัด ฉันพยักหน้า แล้วพาลีโอหลบไปยืนให้พ้นเส้นทางลำเลียง ไม่ช้าเด็กหนุ่มสาวอายุพอๆกับบ็อบแต่ถูกมัดมือไพล่หลังผูกติดกันมาเป็นแถวก็ถูกคุมตัวนำเข้ามา แต่ละคนถูกปิดตาและพาเดินกึ่งลากตรงมาที่ห้อง ประตูที่พื้นถูกเปิดรออยู่ แล้วทันทีที่หนึ่งคนก้าวร่วงลงไป คนท้ายๆก็ถูกกระชากล้มและดึงร่วงตามลงไปในห้องข้างใต้ เสียงหวีดร้องระงมจนฟังไม่ได้ศัพท์ ก่อนร่างเด็กซึ่งอยู่ปลายเชือกท้ายขบวนจะถูกจับโยนตามคนอื่นๆลงไป
“สินค้าครบนะ?”
“ครบครับคุณเชน” ลุงจอห์นสันมองเอกสารในมือซึ่งถูกขีดฆ่านับจำนวนตรงตามแผนแล้วยิ้มให้อย่างทุกที แต่เป็นรอยยิ้มซึ่งทำให้ฉันรู้สึกเย็นเยียบกว่าลมหนาวด้านนอกเมื่อขามาเสียอีก
“ถ้างั้นฝากจัดการต่อด้วย วันนี้ฉันต้องวิ่งงานอยู่สักหน่อยคงไม่อยู่รอเรือออก” ฉันพยักหน้าพอใจกับการทำงานเรียบร้อยตามแผนงานของคนเก่าแก่ของลูซรอค ตบบ่าลุงเบาๆอย่างคุ้นเคยกันก่อนจะบ่ายหน้ากลับไปทีรถ
ขากลับไม่รู้ว่าลมหนาวหรือเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ทำให้ร่างของฉันและลีโอสั่นสะท้านจนแทบก้าวขาไม่ออก ฉันมองใบหน้าซีดขาวของลีโอ ไม่รู้ว่าตนเองควรพูดอะไรกับอีกฝ่ายดี สุดท้ายก็ตัดสินใจให้ความเงียบที่โรยตัวอยู่รอบๆ โอบกอดเราทั้งคู่เอาไว้
ฉันถอดถุงมือออกแล้วกุมมือลีโอแน่น พาเดินต้านลมหนาวจากเรือสินค้ากลับไปยังรถซึ่งจอดรออยู่ เพื่อให้มั่นใจว่า เมื่อไหร่ที่ใครคนนึงหกล้ม อีกคนจะฉุดรั้งให้ผู้ที่ล้มลงได้ลุกขึ้นยืนและก้าวข้ามเรื่องราวต่างๆไปข้างหน้าได้อีกครั้ง
……………………………………………….
…กลิ่นดินปืนผสมกับกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนแทบอยากจะหยุดหายใจ
…เวียนหัว…
ความรู้สึกอยากอาเจียนทำให้ลำคอตีบตันจนพูดอะไรไม่ออก เสียงร้องไห้ปะปนกับเสียงหวีดร้องทำให้ฉันสะดุ้งตื่นขึ้น และพบว่าตนกำลังนั่งหลับอยู่ในรถของคุณท่านซึ่งคนขับรถกำลังขับพาฉันและลีโอไปยังบาร์ของครอบครัวแอนเดอร์สัน โดยมีลีโอนั่งเงียบมองมายังตน ฉันฝืนยิ้มจางๆให้เพื่อนร่วมห้องโดยสาร ไม่รู้สึกตัวเลยว่าเผลอหลับไปตอนไหน บางทีร่างกายคงกำลังประท้วงถึงการใช้งานอย่างบ้าระห่ำของฉันในช่วงนี้ก็เป็นได้
“เสร็จงานคงต้องขอพักยาวๆสักวัน”
ฉันเปรยทีเล่นทีจริง เด็กสาวซึ่งนั่งข้างๆก็ยิ้มตอบ ชวนให้ฉันนึกในใจว่าเด็กสาวคนนี้จิตใจเข้มแข็งดี มองในมุมของคนที่ผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่มาด้วยกัน ดูท่าทางอีกฝ่ายจะรับมือได้ดีกว่าที่ตนคาดคิดไว้มากนัก
เบนสายตาออกมองไปมองวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างอันคุ้นเคย… รู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะกลับไปที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง มันทำให้หัวใจซึ่งตนคิดว่าด้านชาไปนานแล้วกลับมาไหววูบไม่ต่างจากเมื่อก่อน แม้ว่าที่ผ่านมาตนจะไม่เคยนึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปก็ตาม
ถนนสายนี้นำพาเชลลี่กับฉันเข้ามายังชิคาโก้… จุดแรกที่พวกเราลงจากรถขนสินค้าซึ่งโบกรถขอโดยสารมาจากซิเซโร่คือหัวมุมถนนตรงที่มีเสาไฟฟ้าส่องแสงสว่างเจิดจ้านำทาง ฉันเหลือบมองเสาต้นนั้นซึ่งยังตั้งเด่นเป็นสง่าไม่แตกต่างจากวันนั้น
.
.
.
หวนคิดย้อนไป… หิมะหนาและอากาศเย็นซึ่งเคยเป็นเรื่องรื่นเริงสำหรับตนกลับกลายเป็นความโหดร้ายในวันที่เชลลี่และฉันไม่มีเสื้อผ้าหนาๆห่อหุ้มร่างกาย เราทั้งคู่เดินกอดกันไปตามถนนหวังเพียงหาที่ซุกหลบลมหนาว เนื้อตัวมอมแมมส่งกลิ่นแย่ๆพาให้พวกเราถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าร้านจากร้านค้าต่างๆนับไม่ถ้วน ไม่ช้าเราก็ได้เรียนรู้ว่าสถานที่สำหรับพวกเราคือที่ไหน…
ร้านรวงคึกคักเรียงรายก้าวพ้นมาด้านหลัง กลับกลายเป็นตรอกมืดหลืบตึก อันเต็มไปด้วยซากร่างของสิ่งมีชีวิตอีกจำพวกหนึ่ง… เหล่าผู้ซึ่งพ่ายแพ้จากการต่อสู้ในเกมประหัตประหารที่เรียกว่า ‘ชีวิต’
แม้แต่ในตรอกหลืบการแก่งแย่งพื้นที่ครอบครองก็ยังไม่ละเว้น สัตว์เล็กเป็นเหยื่อของสัตว์ใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน ตัวที่เล็กกว่าไม่วายถูกตัวที่ใหญ่กว่าแย่งชิง
ถุงเงินที่ฉันกับเชลลี่พกติดตัวมาถูกขโมยไปตั้งแต่วันแรกๆที่มาถึงชิคาโก้ เราแทบไม่ได้หลับนอนกันเลย เพราะถูกไล่ที่จากคนจรจัดที่อาศัยอยู่ในตรอกหรือเพิงนั้นๆมาก่อน จนฉันกับเชลลี่ได้มาเจอกองขยะในตรอกแห่งหนึ่ง เศษอาหารส่งกลิ่นเน่าเหม็นคลุ้งทำให้ตรอกนั้นยังคงไม่มีผู้ใดจับจองตั้งตัวเป็นเจ้าที่ ลังกระดาษบรรจุของที่ไม่ใช้แล้วถูกมัดกองรวมๆกันอยู่ใกล้ๆ
ฉันจัดการกับขวดแก้วใบหนึ่งจนแตก ใช้เศษแก้วที่มีความคมเถือเชือกที่รัดกระดาษลังเตรียมทิ้งเหล่านั้นออก คืนนั้นเชลลี่และฉันได้อาศัยลังกระดาษเหล่านั้นเป็นบ้านและที่ซุกหัวนอน พวกเราหลับใหลลงอย่างง่ายดาย แม้แต่กลิ่นขยะเน่าเหม็นที่ว่าร้ายๆก็ไม่สามารถมาห้ามเปลือกตาอันหนักอึ้งของพวกเราได้
.
.
.
ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยความหิว ไม่แน่ใจว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไหร่ ฉันมองไปรอบตัวก่อนจะตกใจกระโดดลุกขึ้นเมื่อพบว่าเชลลี่ไม่ได้อยู่ที่นั่น ฉันวิ่งตามหาไปทั่วราวกับคนบ้า กระทั่งเห็นเธอยืนอยู่บนลังไม้ด้านหลังของร้านเล็กๆแห่งหนึ่ง เชลลี่กำลังชะโงกมองเข้าไปในร้านผ่านช่องระบายอากาศเล็กๆ
“เชลลี่…” ฉันส่งเสียงเรียกเธอเบาๆ แต่นั่นก็ไม่วายทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งจนเกือบพลัดตกจากลังที่วางซ้อนกันสูง
“อ้ะ! เชน…ตื่นแล้วเหรอ? หิวรึเปล่า?”
พี่สาวฝาแฝดของฉันปีนลงจากลังก่อนจะยิ้มร่ามองมา เธอล้วงเอาขนมปังก้อนใหญ่ยื่นส่งให้
“กินสิ ฉันกินไปก้อนนึงแล้ว”
“ไปเอาขนมปังมาจากไหน…แล้ว…ทำอะไรอยู่น่ะ”
ฉันรับขนมปังมาฉีกแบ่งครึ่งแล้วเก็บอีกครึ่งหนึ่งใส่กระเป๋าย่าม ตุนไว้เผื่อกินต่อวันหลัง และเริ่มกัดกินครึ่งที่ถือไว้ไปด้วย
“ฟังเพลง… คุณลุงคนนั้นเป่าไอ้เครื่องบ้านั่นเก่งสุดๆไปเลย มาดูสิ!”
เชลลี่เลือกตอบแค่คำถามที่เธอสนใจจะตอบเช่นทุกที จากนั้นก็กระวีกระวาดจัดการออกแบบวิธีวางซ้อนลังไม้ว่างๆแถวนั้นใหม่เพื่อให้เราทั้งคู่สามารถปีนขึ้นไปแอบดูด้วยกันได้
ภาพเบื้องหน้าเป็นโลกอีกโลกที่ฉันไม่เคยพบเห็น เสียงหัวเราะรื่นเริง เสียงดนตรีและภาพผู้คนในชุดสวยๆเต้นรำกันไปมาเหมือนในหนังสือนิทานที่แม่เคยอ่านให้พวกเราฟังตอนเด็กๆ
ฉันหันไปมองเชลลี่ แสงไฟที่สะท้อนระยับในดวงตาของเธอพร่างพราวราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าในคืนเดือนมืด
“ว้าววววววว” เสียงครางเบาๆของเชลลี่ดังขึ้นอย่างตื่นตาตื่นใจ ฉันหันกลับไปในร้านมองตามสายตาของเธอไป พบภาพของนักร้องสาวในสุดเดรสยาวระยิบระยับบนเวที เสียงปรบมือและเป่าปากต้อนรับดังเปี๊ยวป๊าวไม่ขาดสาย ทันทีที่โน้ตตัวแรกดังขึ้นทั้งร้านก็ตกอยู่ในความสงบ มีเพลงเสียงร้องขับกล่อมคลอไปกับเสียงดนตรีล่องลอยอยู่ในบรรยากาศราวกับมนต์สะกด
ฉันไม่รู้เลยว่าสิ่งไหนเกิดขึ้นก่อนกัน ระหว่างความฝันของเชลลี่ที่จะได้ขึ้นไปยืนร้องเพลงบนเวทีในชุดสวย ท่ามกลางสายตาซึ่งมองมาอย่างชื่นชม มีผู้คนมากมายรายล้อมตะโกนเรียกชื่อของเธอ หรือความฝันอันเรียบง่ายและไม่มีอะไรเลยของฉัน นั่นคือการได้เห็นรอยยิ้มของเธอจากมุมใดมุมหนึ่งของเวทีตลอดไป…เท่านั้น…ขอแค่เท่านั้น…
…ฉันในตอนนั้น ไม่รู้เลยว่าราคาที่ต้องจ่ายเพื่อแลกมาซึ่งความฝันนั้นคืออะไร…
.
.
.
เชลลี่กับฉันลงมติเอกฉันท์ว่าพวกเราจะขยับมาอาศัยนอนแถบหลังบาร์แห่งนี้แทน เราทั้งคู่มีความสุขมากขึ้นท่ามกลางเสียงดนตรีอันรื่นเริงที่ได้ยินแว่วมาตามหน้าต่างร้าน แม้ว่าบ่อยครั้งที่เราอาจได้ยินเสียงปืน เสียงกรีดร้อง และเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวดดังแทรกขัดท่วงทำนองแว่วหวาน ก่อนเลือนหายไปในอากาศ ราวกับเสียงกระซิบของภูติผีร้ายที่ไม่ยอมปรากฏตัวให้เห็นที่มาเป็นครั้งคราวก็ตามที…
…คงเพราะพระเจ้าตรองแล้ว จึงสร้างสิ่งต่างๆให้เกิดมาคู่กัน… มีดำก็มีขาว มีมืดย่อมมีสว่าง และยิ่งด้านหนึ่งต้องแสงสว่างเจิดจ้าเท่าไหร่ ด้านตรงข้ามก็ยิ่งเกิดเป็นเงาดำอันมืดมิดอันธกาลยิ่งขึ้นเท่านั้น…
เชลลี่กับฉัน เราต่างก็ไม่พ้นกฎแห่งความจริงของพระเจ้าข้อนี้ เฉกเช่นเดียวกัน … เพราะว่าเข้าใจ ฉันถึงได้ยอมดำดิ่งทั้งชีวิตและจิตวิญญาณลงไป เพียงเพื่อให้โลกของเธอได้ไต่ขึ้นไปอยู่จุดที่สูงที่สุด พบแต่ความสว่างสดใส มีแต่ความสุข… ขอแค่ได้รู้ว่าต้องทำอะไร…
.
.
.
นอกจากได้ฟังแจ๊ซและชมการแสดงทุกคืนแล้ว ข้อดีของการได้อาศัยอยู่ในตรอกหลังบาร์แห่งนี้อีกอย่างก็คือ…อาหาร… ภรรยาเจ้าของบาร์เป็นหญิงรูปร่างท้วมอุ้ยอ้ายแต่ใจดีมาก เธอมักจะลอบเอาอาหารที่เหลือๆ หรือบางครั้งก็แค่อาหารที่เธอทำผิดออร์เดอร์ออกมาแจกจ่ายเด็กๆที่อาศัยในตรอกนี้เป็นประจำ ขอเพียงพวกเราระวังไม่ส่งเสียงดังจนลุงเจ้าของร้านออกมาไล่ตะเพิดไปเท่านั้น ทั้งเชลลี่และฉันก็ไม่ต้องทนหิวโหยอีกต่อไป
.
.
.
……………………………………………….
เสียงยางเบียดถนนตอนตีโค้งและเสียงดับเครื่องยนต์ฉุดฉันให้กลับมาสู่สิ่งที่ต้องทำในค่ำคืนนี้อีกครั้ง เบื้องหน้าคือบาร์ของ โอลิเวียร์ และมาร์คอฟ ซึ่งคุณท่านให้ทอมติดต่อขอซื้อ… และแน่นอนว่าไม่ว่าด้วยวิธีใด ลูซรอคจะต้องได้มันมา… ฉันสาวเท้าก้าวยาวๆเข้าไปในบาร์ตามองหาคนของตนซึ่งน่าจะมาถึงกันก่อนแล้ว
.
.
.
เสียงตะโกนขับไล่พวกมาเฟียดังขรมไปทั้งร้านแล้วในตอนที่ฉันไปถึง เหล่าคนงานในร้านจับกลุ่มรวมตัวกันล้อมคนของลูซรอคไว้หมด แต่ละคนผลัดกันตะโกนคนนั้นที คนนี้ที
“พวกเรากำลังทำมาหากินอยู่นะ!”
“สงสารคนจนบ้างสิ”
“ใช่! ทำไมต้องมาบังคับกันด้วย!”
ฉันเดินไปหยุดยืนอยู่ด้านข้างของทอม ดูจากสถานการณ์ ตาลุงจอมวางท่านั่นคงไม่ยอมปล่อยมือจากร้านง่ายๆ… ซึ่งนั่นก็ไม่ได้เหนือความคาดเดาของฉันเลย
“ที่มองหากันอยู่ก็คือโอกาสไม่ใช่เหรอ? นี่ไงล่ะโอกาส รับไปซะ! ก่อนที่จะไม่เหลือความเห็นใจใดๆจากลูซรอค”
ฉันพูดขึ้นเรียบๆแต่น้ำเสียงไว้อำนาจทั้งที่จำนวนคนในร้านสนับสนุนอีกฝ่ายเกินครึ่ง
“อย่าคิดว่าเอาตังค์มาฟาดซื้อร้านก็จบนะ!”
“ใช่!”
“ใช่!!”
“เมื่อร้านนี้เป็นของพวกเรา เราจะดูแลอย่างสุดความสามารถนั่นแหละ กลับไปซะ!”
มาร์คอฟลุงเจ้าของร้านตะคอกกลับมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ ภาพชายร่างใหญ่ตรงหน้าช่างคุ้นตาและซ้อนทับกับคนในความทรงจำของตน
…คนบางคนก็ไม่เคยเปลี่ยน…
“บอสคะ เงินขาดอีกเท่าไหร่พวกเราจะช่วยกันหาเงินมาจ่ายเอง!”
นักร้องสาวใหญ่หยิบธนบัตรที่เจ้าหล่อนได้ทิปออกมาปาลงบนโต๊ะ แม้ว่าจะมันไม่พอค่าดอกเบี้ย ของก้อนหนี้ที่ค้างอยู่ด้วยซ้ำ แต่ก็เรียกเสียงเฮ และโห่ไล่พวกลูซรอคจากคนอื่นๆได้พอดู
ฉันจุดบุหรี่ขึ้นสูบ ปล่อยให้เหตุการณ์ยั่วยุของอีกฝ่ายดำเนินไปราวกับกำลังนั่งดูบทละครซึ่งถูกวางไว้แล้ว และแทบไม่สะดุ้งสะเทือนกับเสียงโห่ร้องของคนในนั้นแต่อย่างใด
ฉวยจังหวะที่ทางนั้นไม่ทันตั้งตัว พริบตาเดียวมือเรียวก็คว้ากระชากคอเสื้อมาร์คอฟซึ่งยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของเคาน์เตอร์บาร์ให้เข้ามาใกล้ โน้มหน้าไปหาก่อนพ่นควันใส่ใบหน้าแดงก่ำนั่น ก่อนกระซิบ
“แน่ใจนะว่าแกอยากจะดูแลร้านนี้ และชีวิตแกกับเมีย… รวมทั้งชีวิตลูกน้องพวกนี้ และลูกค้าทุกคน… แกรับผิดชอบไหวงั้นเหรอ? ห๊ะ!”
ท้ายประโยคตนตะคอกใส่หูเรียกสำนึกรับผิดชอบจากคนตัวโตกว่าอย่างไม่กลัวเลยสักนิด
…ใช่… คนๆหนึ่งกับองค์กรทั้งแก๊งค์… คำพูดสวยหรูอันพร่างพรู และศักดิ์ศรีที่ค้ำคออยู่ไร้ค่าทันทีเมื่อผู้พูดเหลือเพียงร่างอันปราศจากลมหายใจ… ต้องใช้ปืนกี่กระบอก ชีวิตผู้คนกี่คน จึงจะพอจ่ายให้กับความดื้อรั้นของคน… และการต่อสู้ที่ไม่มีวันชนะ…
มาร์คอฟอึกอักไปนิด แน่นอนว่าดูท่าแล้วเขาไม่คิดยอม แต่ถ้ามันหมายถึงความปลอดภัยของทุกคนแลกกับบาร์แห่งนี้ละก็ ชายร่างยักษ์ก้มหน้าลง มือกำแน่นอย่างพยายามอดกลั้น
ฉันส่งสายตาให้เรเชลกับทอมเข้าเจรจาผลประโยชน์ต่อด้วยมั่นใจว่าคนตรงหน้าเข้าใจความหมายในสิ่งที่ตนได้พูดไปดี
เรเชลยังคงยืนเหม่อมองมาทางฉันอย่างแปลกใจ คงเพราะเธอไม่เคยเห็นฉันเป็นแบบนี้มาก่อนกระมัง
“ให้ฉันพูดเลยไหมคะ”
เรเชลมองมาเหมือนต้องการคำตอบ ฉันจึงหันไปตบบ่าทนายคนสวยของลูซรอคเบาๆ ก่อนส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ฝากด้วยนะเรเชล”
รู้ว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปในทางดีขึ้นแล้ว ฉันก็หันตัวหลบให้ทอมกับเรเชลเข้าไปรับช่วงคุยต่อ เหลือเพียงคุมเชิงอยู่ห่างๆ
ทอมถอนหายใจก่อนจะก้าวออกไปบอกเงื่อนไขให้มาร์คอฟ
“คืออย่างนี้นะมาร์คอฟ บาร์เนี่ยยกให้ทางพวกฉัน ส่วนดอกเบี้ยที่ติดไว้ ถือซะว่าเป็นของขวัญจากลูซรอคให้ไปตั้งตัวใหม่” ทอมจิ้มนิ้วที่ใส่ถุงมือลงบนบ่าอีกคนอย่างหนักแน่นก่อนจะยกยิ้มมุมปาก “อธิบายง่ายๆแบบนี้ คงเข้าใจนะ”
มาร์คอฟยังคงเงียบนิ่งเม้มริมฝีปากแน่นมากขึ้นไปอีกคล้ายพยายามข่มอารมณ์และคำพูดของตนไว้ แต่ก็นั่นแหละ ร้านที่สร้างมากับมือ ความทรงจำของพ่อซึ่งเป็นนักดนตรีแซกโซโฟนให้ที่นี่มาช้านาน เงินดอกเบี้ยที่ติดเอาไว้ไม่สามารถซื้อสิ่งเหล่านี้ได้
“ใครจะไปเข้าใจวะ… แค่ดอกเบี้ยกับเงินแค่นั้นมันจะไปพออะไร” แม้จะไม่ได้พูดก้าวร้าวรุนแรงแต่น้ำเสียงก็บ่งบอกถึงความไม่พอใจได้มากพอสมควร ถ้าเป็นคนอื่นอาจเข้าใจว่ามาร์คอฟต้องการเรียกร้องเงินมากขึ้น แต่สำหรับฉัน… ฉันเข้าใจ… คำพูดซึ่งผู้ทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวและเจ้าของร้านไม่ได้พูดออกมา
…เงินแค่นี้มันจะไปพออะไร…ที่จะมาซื้อความฝันและความสุขของทุกชีวิตในร้านนี้ต่างหาก…
ทอมพ่นลมหายใจเบาๆ ทำท่าทีเหมือนเหนื่อยหน่ายใจ
“นกหนึ่งตัวในกำมือย่อมมีค่ามากกว่านกสองตัวในพุ่มไม้ ถ้าแกไม่พอใจในสิ่งที่แกมีตอนนี้ สุดท้ายแกจะไม่ได้อะไรสักอย่าง”
ทนายสาวซึ่งยืนเงียบมองสถานการณ์อยู่นานก็ออกไปผสมโรงกะทอมบ้าง คงอยากให้ภารกิจเสร็จสิ้นเสียที
“นี่นาย อย่างน้อยก็ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้ ก็ดีกว่าโดนยึดไปแล้วยังต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มอีกไม่ใช่หรือไง? หรือมีปัญญาจ่าย?” เสียงเรียบพูดไปเรื่อยๆ แม้ไม่ได้เจือด้วยท่าทีข่มขู่ แต่ก็กำลังต้อนอีกคนให้จนมุมมากขึ้นเรื่อยๆ
“อย่ายึกยักมาก ท้ายที่สุดแล้วจากเหลือศูนย์จะกลายเป็นติดลบนะคุณ!…” หญิงสาวมองนิ่งใส่เหยื่อผู้โชคร้าย “เอ้าเซ็นต์ๆ ซะเถอะ”
หนังสือสัญญาถูกเสือกส่งไปตรงหน้าชายร่างยักษ์พร้อมปากกา
“ฉันขอเวลาเพิ่ม…” มาร์คอฟเอ่ยเสียงอ่อนลง
“นายจะขอทำมะเขืออะไรอีกล่ะ” เรเชลขมวดคิ้วยุ่งๆ นิดหน่อย
“นายได้เวลาเพิ่ม นายทำเงินได้เพิ่มอะจริง แต่ดอกเบี้ยก็เพิ่มขึ้นตามไหม จะอยู่อีกสิบปี นายก็หาเงินมามากพอจะใช้ดอกเบี้ยไม่ได้หรอกนะ ออกไปใช้ชีวิตสิบปีที่อื่นเถอะ อยู่แถวๆ นี้ระวังจะอยู่ไม่ถึงอีกสิบปีเอานะ”
ปากกาถูกยัดใส่มือมาร์คอฟ เหมือนจะบอกให้เซ็นต์ๆ ให้เสร็จซักที
“พวกแกมันปีศาจ!” ความอดกลั้นถึงขีดสุดพาเอาลุงลุกขึ้นมาชี้หน้าด่ากราด เจาะจงมาที่ฉันซึ่งเป็นคนออกโรงข่มขู่คนแรก
ฉันเพียงค้อมศีรษะให้นิดคล้ายรับคำชม “รู้แล้วก็ทำสัญญากับปีศาจซะทีสิ ทางรอดแกก็มีแต่ทางนี้ไม่ใช่รึไง?” ฉันตอบกลับด้วยเสียงเอือมๆ เหมือนเจอพวกที่เข้าใจอะไรยาก
“นังสารเลว” ลุงเจ้าของยังคงพ่นคำด่าออกมาไม่หยุดจนแทบไม่รู้จะด่าอะไรต่อไปอีก มันเป็นเพียงการดิ้นรนครั้งสุดท้ายซึ่งฉันไม่คิดจะเก็บมาเปลืองแรงต่ออีก
“หุบปากน่า…มันหนวกหูนะรู้ไหม!” เรเชลตะโกนกลับ
…นี่ตะหากที่ฉันกำลังสนใจ… ไม่คิดว่าคุณทนายสาวสวยผู้เงียบขรึมบทจะบู๊ก็สู้คนเอาเรื่องแฮะ
“นี่สรุปว่าอยากโดนเป่าสมองไหลก่อนจริงๆ ใช่ไหม เริ่มขี้เกียจจะอธิบายเกลี้ยกล่อมแล้ว อ้อแล้วไม่ต้องบอกว่าฆ่าคนตายแล้วจะไปเรียกตำรวจนะ พวกมาเฟียฆ่าตายไปเป็นแสนแล้ว ยังลอยนวลมายึดผับแกได้เลย…เซ็น!”
เสียงตะโกนหนักท้ายประโยคกดดันให้คนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหนังสือสัญญาบีบปากกาในมือแน่นจนมือสั่น ใบหน้าแดงจัดด้วยความโกรธอันไม่สามารถระบายออกได้
ป้าโอลิเวียซึ่งเอาแต่นั่งร้องไห้กระซิกๆอยู่อีกฝั่งเดินมากอดมาร์คอฟไว้จากด้านหลัง ซุกหน้าร้องไห้จนไหล่ไหวขึ้นลงบนแผ่นหลังผู้เป็นสามี มือที่หยาบกร้านเพราะกรำงานมาโชกโชนลูบลงบนบ่า ที่ครั้งหนึ่งเคยแบกภาระของทุกคนไว้อย่างอดทนเบาๆเพื่อปลอบโยน อย่างน้อยขอแค่มีกันและกัน พวกเขาจะต้องเริ่มใหม่ได้อีกครั้ง
มาร์คอฟจับปากกาขยับเร็วๆก่อนปล่อยปากกาทิ้งไว้บนโต๊ะ ยกมือขึ้นลูบหน้า แล้วหันกลับไปกอดป้าไว้ เสียงแหบต่ำถามเป็นคำถามสุดท้าย “พวกเรามีเวลาย้ายออกนานแค่ไหน?”
“นี่ได้อ่านสัญญาไหมห๊ะ” เรเชลสวมบทนางร้ายตวาดแหวใส่ พร้อมชี้ให้ดูคำว่า ‘ภายใน 15 วัน’ ในเอกสารแม้จะถูกเขียนด้วยตัวหนังสือขนาดเล็กมากก็ตาม “สิบห้าวันไงคะ”
ลุงเจ้าของพยักหน้านิดทั้งที่หันหลังให้อยู่ “หมดธุระแล้วพวกแกก็กลับไปได้ละ!”
ฉันซึ่งเดินไปลากเก้าอี้มานั่งสูบบุหรี่พ่นควันเล่น มองบรรยากาศกดดันจากทีมกฎหมายของตนอยู่ห่างๆอย่างไม่ทุกข์ร้อน ตั้งแต่ฝากฝังให้เรเชลกับทอมจัดการ เพราะตนเชื่อมั่นในตัวคนทั้งคู่ คนเหล่านี้ไม่พลาดกับเรื่องง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเป็นแค่ชาวเมืองธรรมดาๆ รอจนภารกิจเสร็จสิ้นค่อยลุกขึ้น
“แกเลือกได้ฉลาดแล้ว…วันหน้าแกจะดีใจที่เลือกเป็นมิตรกับพวกเรา”
พูดจบฉันก็เพยิดหน้าให้สัญญาณทุกคนในทีมซึ่งเสร็จงานแล้วให้ออกจากร้านได้ ตนเองยืนรั้งเป็นคนสุดท้าย รอจนทุกคนออกไปนอกร้าน ก็วางนามบัตรแผ่นเล็กๆลงบนเคาน์เตอร์ มันเป็นนามบัตรของบาร์แห่งหนึ่งในเขตชานเมืองชิคาโก้ซึ่งเจ้าของกำลังประกาศขายร้านอยู่ บนนามบัตรเป็นเข็มกลัดเก่าๆรูปแซกโซโฟนที่ครั้งหนึ่งคุณลุงท่าทางใจดีซึ่งเคยเป่าแซกโซโฟนอยู่ในร้านเคยมอบให้ฉันกับเชลลี่ตอนเด็กๆในช่วงวันคริสต์มาส…
…บอกไปใครจะเชื่อ…ว่าคุณลุงใจดีที่เป่าแซกโซโฟนได้เทพขนาดนั้น จะเป็นพ่อของตาลุงขี้โมโหวันๆทำหน้าแดงก่ำคนนี้…
…ความลับอีกอย่างที่ฉันเพิ่งมานึกออกตอนนั่งรถมาที่ร้าน… ลุงมาร์คอฟน่ะ… ออกมาไล่พวกเด็กๆที่มารอรับอาหารหลังร้านจากป้าโอลิเวียร์หลังจากป้าแกแจกอาหารเสร็จแล้วทุกครั้งเลยสิน้า…
ฉันไม่ได้พูดอะไรอีกมุมปากยกขึ้นนิด เป็นรอยยิ้มขื่นๆ ก่อนเดินตามทุกคนออกไป…หลังเสร็จสิ้นภารกิจ…
……………………………………………….
== Side Story ==
…15 วัน ให้หลัง…
รถยนต์คันงามพาร่างหญิงสาวในชุดสูทจนดูราวกับเด็กหนุ่มคนเดิมมาจอดยังฝั่งตรงข้ามของบาร์ โอลิเวียร์ แอนด์ มาร์คอฟ ซึ่งกำลังจะถูกเปลี่ยนเป็นชื่อ มูนดัสต์ ในความดูแลของลูซรอค
หญิงสาวไม่ได้ลงจากรถ หล่อนแค่เพียงนั่งมองคนในร้านช่วยกันทยอยยกกล่องใส่ของขึ้นรถบรรทุกซึ่งถูกจ้างมาสำหรับขนย้าย
ข่าวการซื้อขายบาร์ย่านชานเมืองตามนามบัตรเป็นไปด้วยดี ด้วยเงินค่าบาร์ที่เคยเช่าซื้อมาหลายปี บวกกับเงินตั้งตัวที่ลูซรอคมอบให้ เพียงพอจะขอซื้อต่อบาร์เล็กๆซึ่งเจ้าของกำลังต้องการขายด่วนในย่านชานเมืองได้ตามที่ควีนแห่งลูซรอคคำนวนไว้
สิ่งที่เหนือการคำนวณของหล่อนกลับเป็นร่างของบิชอป…โธมัส คริสโตเฟอร์ ฮาร์ทแมน ซึ่งกำลังง่วนช่วยยกของจากด้านในร้านขึ้นรถบรรทุกอยู่นั่นตะหาก
รอยยิ้มปรากฏบนเรียวปากอิ่มคู่สวยก่อนเจ้าหล่อนจะตัดสินใจเปิดประตูรถเดินข้ามถนนไปหาบิชอปตัวดีของหล่อนที่อีกฟากถนน
“ทำอะไรอยู่น่ะ ทอม?”
คำถามเรียบนิ่งหากแต่น้ำเสียงกลับไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มของเจ้าของคำถามไว้ได้
.
.
.
……………………………………………….
==TBC.==
……………………………………………….